วันพุธที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2554

10 แหล่งท่องเที่ยวในกรุงเทพ ฯ ที่ไม่ควรพลาด

10. ตลาดนัดสวนจตุจักร

ตลาดนัดสวนจตุจักร คือ "สวรรค์ของคุณๆ" สำหรับผู้ที่ชอบซื้อสินค้าและต่อรองราคา โดยวันพุธและพฤหัสบดีจะเป็นตลาดค้าส่งต้นไม้ ส่วนวันเสาร์
และอาทิตย์นั้นจะเป็นเปลี่ยนเป็นตลาดนัดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย รวมทั้งเป็นศูนย์รวมร้านค้ากว่า 15,000 ร้านจากทุกภูมิภาคของประเทศ
เปิดตั้งแต่ 7 โมงเช้าถึงค่ำ


9. พิพิธภัณฑ์วังสวนผักกาด

มีพื้นที่ 6 ไร่ ตั้งอยู่บนถ.ศรี-อยุธยา เขตราชเทวี ซึ่งประกอบด้วยเรือนไทยโบราณ 8 หลัง ผู้มาเยี่ยมชมสามารถสัมผัสถึงความงามของสถาปัตยกรรม
ไทยที่คงความสมบูรณ์ยิ่ง ทั้งข้าวของเครื่องใช้ก็เป็นของส่วนพระองค์ที่หาดูได้ยากในปัจจุบัน เราจะได้สัมผัสถึงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของพระบรม
วงศานุวงศ์หรือเจ้านายชั้นสูง คือ พลตรีพระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าจุมภฏพงษ์บริพัตร กรมหมื่นนครสวรรค์ศักดิพินิต หรือเสด็จในกรมฯ ท่านเจ้า
ของวังอย่างใกล้ชิด


8. พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร

ตั้งอยู่บนถ.หน้าพระธาตุ เขตพระนคร ระหว่างมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และโรงละครแห่งชาติ ตรงข้ามกับสนามหลวง พิพิธภัณฑ์แห่งนี้นับเป็น
พิพิธภัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุดในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเป็นสถานที่เก็บรวบรวมข้อมูลด้านศิลปะไทยมากที่สุดแห่งหนึ่ง เป็นแหล่งรวบรวมความ
เป็นมาของชาติไทยตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ เข้าสู่ยุค รุ่งเรืองของอาณาจักรสุโขทัย ลพบุรี อยุธยา ธนบุรี จนกระทั่งถึงยุครัตนโกสินทร์


7. พิพิธภัณฑ์บ้านไทย จิม ทอมป์สัน

นายจิม ทอมป์สัน (James H.W. Thompson) ผู้ก่อตั้งร้านผ้าไหมไทย จิม ทอมป์สัน เดินทางมาประเทศไทยครั้งแรกในฐานะทหารอาสาสมัครของ
กองทหารอาสาสมัครของกองทัพสหรัฐฯ ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อสงครามยุติเขาได้กลับมาดำเนินธุรกิจค้าผ้าไหมในประเทศไทยและ
เป็นผู้นำในการสร้างชื่อเสียงของผ้าไหมไทยให้เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก


6. พระที่นั่งวิมานเมฆ

ตั้งอยู่ในพระราชวังดุสิต ใกล้กับอาคารรัฐสภาและสวนสัตว์ดุสิต ระหว่างที่เริ่มสร้างพระราชวังดุสิตรัชกาลที่ 5 ได้โปรดเกล้าฯ ให้ชะลอพระที่นั่งมันธาตุ
รัตนโรจน์จากเกาะสีชังมาสร้างขึ้นที่พระราชวังดุสิต โดยมีสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ทรงกำกับการออกแบบสถาปัตยกรรมของพระ
ที่นั่งได้รับอิทธิพลการก่อสร้างจากตะวันตก ตัวอาคารสร้างด้วยไม้สักทองเป็นรูปตัว L มีทั้งหมด 3 ชั้น ยกเว้นส่วนที่ประทับซึ่งเรียกว่า "แปดเหลี่ยม"
มี 4 ชั้น การจัดแสดงบางห้องยังคงบรรยากาศในอดีต เช่น ห้องบรรทม ห้องสรง เป็นต้น พระที่นั่งแห่งนี้ได้รับการบันทึกว่าเป็นอาคารที่สร้างจากไม้
สักทองที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ได้รับการดัดแปลงเป็นพิพิธภัณฑ์เพื่อเป็นที่แสดงศิลปวัตถุที่สะสมมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5


5. วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามราชวรวิหาร

วัดเบญจมบพิตร แปลว่า "วัดของพระเจ้าแผ่นดินรัชกาลที่ 5" ตั้งอยู่บนถ.ศรีอยุธยาใกล้พระราชวังดุสิต สร้างด้วยหินอ่อนจากประเทศอิตาลี เป็นทรง
จัตุรมุขหลังคาซ้อน 4 ชั้นวัดเบญฯ ถือเป็นสถาปัตยกรรมที่สมบูรณ์แบบของศิลปะไทย ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการเยี่ยมชมคือ ตอนย่ำรุ่งระหว่างที่
พระสงฆ์ทำสังฆกรรมภายในพระอุโบสถ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ วัดเบญจมบพิตรจัดแสดงพระพุทธรูปปางในสมัยต่าง ๆ ทั้งของไทยและต่างประเทศ
เช่น ปางลีลาสมัยสุโขทัย ปางมารวิชัย เป็นต้น


4. วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร

วัดอรุณ ฯ หรือวัดแจ้ง ตั้งอยู่บนถนนอรุณอมรินทร์ เขตบางกอกใหญ่ เป็นวัดโบราณสร้างในสมัยอยุธยาเมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงตั้งราชธานี
ที่กรุงธนบุรี ใน พ.ศ. 2310 ได้เสด็จมาถึงหน้าวัดนี้ตอนรุ่งแจ้ง จึงโปรดเกล้าฯ ให้เทียบเรือพระที่นั่งที่ท่าน้ำ เพื่อเสด็จฯ ขึ้นไปสักการะพระมหาธาตุ
ซึ่งเป็นพระปรางค์องค์เดิม พร้อมเปลี่ยนชื่อใหม่ว่า "วัดแจ้ง" รัชกาลที่ 4 โปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระบรมอัฐิรัชกาลที่ 2 มาบรรจุไว้ พร้อมทรงเปลี่ยน
ชื่อวัดเป็น "วัดอรุณราชวราราม"

พระปรางค์วัดอรุณฯ ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของกรุงเทพฯ ที่รู้จักกันทั่วโลก สูง 70 เมตร ก่ออิฐถือปูนประดับด้วยกระเบื้อง
เคลือบจานชามเบญจรงค์และเปลือกหอยจำนวนมหาศาล แล้วนำมาเรียงต่อกันเป็นรูปร่างต่าง ๆ อย่างงดงาม นอกจากความสวยงามที่ผู้คนต่างยกย่อง
ให้พระปรางค์วัดอรุณเป็นพระปรางค์ที่สวยงามที่สุดในประเทศไทย และถือเป็นพระปรางค์ที่สูงที่สุดในโลก


3. พระบรมมหาราชวัง

มีพื้นที่ 218,400 ตารางเมตร ประกอบด้วยวัดพระศรีรัตนศาสดาราม พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท พระที่นั่งองค์แรกภายในพระบรมมหาราชวัง โดยถ่ายแบบ
มาจากพระที่นั่งสรรเพชรมหาปราสาทในสมัยอยุธยา มีลักษณะเป็นปราสาทจัตุรมุข ยอดทรงมณฑปซ้อนเจ็ดชั้นประดับกระจก หลังคาคาดด้วยดีบุก
พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2418 เป็นสถาปัตยกรรมผสมระหว่างไทยและยุโรปเป็นปราสาทรียงกันสามชั้น สามองค์ เชื่อมต่อด้วย
มุขกระสันโดยตลอด หลังคามุงกระเบื้องเคลือบสี มียอดปราสาทสามยอด
นอกจากนี้ยังประกอบไปด้วย พระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน พระที่นั่งไพศาล
ทักษิณ พระที่นั่งอัฐทิศอุทุมพรราชอาสน์ และพระที่นั่งบรมพิมาน


2. วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร (วัดโพธิ์)

วัดโพธิ์ได้ชื่อว่าเป็น "มหาวิทยาลัยแห่งแรกของประเทศไทย" เนื่องจากในสมัยรัชกาลที่ 3 ยังไม่มีการพิมพ์หนังสือการศึกษาที่มีอยู่ก็เรียนตามวัด
พระองค์จึงมีพระราชประสงค์ให้มีแหล่งรวมความรู้ จึงมีการรวบรวมและเลือกสรรตำรับตำรามาจารึกที่แผ่นศิลาไว้โดยรอบวัดเพื่อเผยแพร่ให้ประชาชน
วัดโพธิ์จัดเป็นวัดที่มีขนาดใหญ่และเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ก่อสร้างมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1


1. วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว)

วัดพระแก้ว ตั้งอยู่บนถนนหน้าพระลาน เขตพระนคร สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 1 พ.ศ. 2325 เมื่อรัชกาลที่ 1 (พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬา
โลกมหาราช) ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ย้ายราชธานีจากธนบุรีมายังกรุงเทพมหานคร นอกจากนี้ยังเป็นที่ประดิษฐานของ "พระพุทธมหามณี
รัตนปฏิมากร หรือพระแก้ว" พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของไทย ซึ่งรัชกาลที่ 3 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้สร้างขึ้นในพระอุโบสถ ระเบียงพระอุโบ-
สถมีภาพจิตรกรรมฝาผนังเรื่องรามเกียรติ์ที่สวยงามและยาวที่สุดในโลก
คุณเบื่ออาหารแบบเดิมๆ หรือเปล่า คุณอยากกินอาหารแปลกๆ และหรูหรือไม่ วันนี้ผมแนะนำ
อาหารอร่อยสุดหรูจากต่างประเทศ ให้ทุกคนได้ลิ้มลองกัน(ปัดฝุ่นอีกรอบ)


อันดับ 10 หนู


เป็นอาหารสุดฮิตของอเมริกาใต้ โดยเฉพาะประเทศยากจนอย่าง เปรู ปารากวัย หนูคือแหล่งโปรตีนสำคัญที่เดียว และเป็นเมนูหลักๆ ของร้านอาหาร
และภัตตาคารใหญ่ๆ โดยชาวปารากวัยต่างลิ้มลองเชื่อว่าการกินหนูจะช่วยให้ผิวกระชับมากขึ้น ผิวเนียนอีกต่างหาก ซึ่งหนูตัวใหญ่เขาจะมาย่างเป็น
หนังกรอบหอมเสริฟแบบแฮมเบอร์เกอร์เลยที่เดียว ส่วนหนูทารกตัวสีชมพู แดงๆ ก็จะหย่อนหนูเป็นๆ ลงท้องทันทีตามด้วยนมสดสักแก้ว หรือ
ไม่ก็จะอร่อยแบบศิวิไลหน่อยก็จับลูกหนูใส่ในขนมปัง หรือกล้วยหอมแล้วยัดใส่ปากเคี้ยวกร้วมๆ ร้องจิ๊ดๆ เป็นอันอร่อยเหาะ(แค่คิดก็...)


อันดับ 9 สตูค้างคาว

อาหารขึ้นชื่อของเวียดนาม ประเทศที่กำลังเจริญกว่าไทยน่ะแหละ ขายดิบขายดี แถมยังหรูและหายากมาก โดยเฉพาะเมืองหลวงไซ่งอนน่ะมัน
อยู่ในระดับภัตตาคารหรูเท่านั้น ซึ่งชาวเวียดนามเชื่อกันว่าเนื้อค้างคาวคือราชันย์แห่งเนื้อทั้งปวง

การกินน่ะหรือ ทำได้หลายวิธี เช่นทำซุป หรือนำมาสับเป็นชิ้นๆ เคี้ยวเป็นสตู หรือไม่ก็ใช้มีดคมๆ ตัดหัวค้างคาวทันที จากนั้น
ก็รีดเลือดที่หยดจากร่างไร้หัวใส่แก้วเปล่าแล้วดื่มกินสดๆ ทันที


อันดับ 8 สตูว์เนื้อหมาดำ

พูดถึงเอเชียก็ต้องเนื้อหมา กินกันทั้งเกาหลี เวียดนาม ไทย แต่ถ้าจะหาประเทศที่กินเนื้อหมาได้มีลีลาเด็ดอร่อยก็ประเทศอินโดนีเซีย เพื่อนบ้าน
ของเรานั้นเองเพราะพี่เพื่อนบ้านแกทำหลายเมนูมาก โดยเฉพาะเนื้อหมาดำว่ากันว่ามีรสอร่อยกว่าเนื้ออื่นๆ ทั้งปวง แถมนุ่มกว่าเนื้อหมาสีอื่นๆ
ทำให้เวลานี้หมาดำชักจะหายจากถนนและบ้านเรือนของอินโดนีเซียไปแล้ว


อันดับ 7 หัวแกะสด-ต้ม

จากหลายประเทศรอบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เป็นเมนูที่คุ้นเคยอย่างยิ่งของชาวเมืองแถบนั้นว่ากันว่าหัวแกะถือว่าเป็นอาหารสุดยอดของแกะ
เมื่อถึงเทศกาลปีใหม่ของชาวยิวที่เรียกว่า รอช อาแชน่า หัวแกะถูกนำมาเสิร์ฟพร้อมกับความหมายที่ว่า ใครก็ตามได้กินหัวแกะนั้นจะได้รับโชคดี
ในวันปีใหม่ที่จะมาถึง แต่ถ้ากินลูกนัยตาของลูกแกะเข้าไปย่อมโชคดีมากขึ้นไปอีก ส่วนรสชาติหลายๆ คนให้ความเห็นว่า “เค็มเหลือเกินพับผ่า”


อันดับ 6 ขนมพายครีบแมวน้ำ

ชาวนิวฟาวด์แลนด์กินพายที่มาจากครีบแมวน้ำนั้นถือว่าเป็นสิ่งวิเศษ และต้องกินก็ได้ถ้ามีโอกาส และด้วยเหตุนี้ส่งผลให้แต่ละปีจะมีแมวน้ำมากมาย
มหาศาล ต่างถูกจับตัวขึ้นมาตัดครีบทั้งสองข้าง จากนั้นก็ถีบลงเรือและปล่อยให้จมน้ำตายในทะเลไปอย่างน่าสมเพชที่สุด ในภัตตาคารใหญ่ๆ
หลายต่อหลายแห่งก็มีเมนูชนิดนี้เปิดขายทั้งแบบปกปิดและเปิดเผย เพราะนานาประเทศยังต่อต้านเมนูนี้อยู่


อันดับ 5 สมองลิงแสนสนุก

วิธีการทำและการกินก็ง่าย ก็เอาลิงพันธุ์อะไรก็ได้แล้วแต่มีให้ มาหนีบกับโต๊ะโดยมีส่วนหัวด้านบนโผล่ออกมา จากนั้นพ่อครัวก็ใช้วิชาบาร์เบอร์
โกนขนส่วนบนของลิงออก จนเกลี้ยงเกลาจากนั้นก็ใช้สิ่วและค้อนเฉาะกะโหลกของลิงออกคล้ายกับกะเทาะมะพร้าวอ่อน(ทรมานจิง)

และแล้วลูกค้าก็จะรีบตักกินสมองลิงอย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะถ้าปล่อยทิ้งไว้นานเกินไปสมองลิงจะยุบและลดปริมาณอย่างรวดเร็ว
แต่บางครั้งเขาก็เสิร์ฟสมองลิงแบบแช่แข็งไว้ด้วย เพื่อลดภาระสมองลิงหดตัวอย่างรวดเร็วอีกทางหนึ่ง


อันดับ 4 ปลาสองแผ่นดิน

เมนูนี้สามารถหากินได้จากประเทศจีนหรือไทยก็ได้ครับ
วิธีการทำต้องใช้ฝีมือหน่อย เริ่มจากนำปลาเก๋าขนาด 2 ก.ก. มาขอดเกล็ดออกให้หมดแล้วนำมาล้าง ก่อนจะใช้ผ้าเย็นที่แช่เย็นจัดพันส่วนหัวจนถึง
พุงปลา แล้วก็ใช้มีดบั้งตัวปลาตั้งแต่ส่วนหางขึ้นมาจนถึงกลางลำตัว ระหว่างนั้นตั้งกระทะใส่น้ำมันพืชลงไปรอให้เดือดเต็มที่ แล้วก็นำหางปลาช่วงที่
บั้งจุ่มลงไปทอดครึ่งตัว ซึ่งเป็นภาพที่หวาดเสียวมาก เพราะปลาจะดิ้นตลอดเวลาด้วยความเจ็บปวด ต้องใช้คีมคีบที่หัวปลาเอาไว้ รอจนเนื้อปลาสุก
เป็นสีเหลือง ก็ยกขึ้นนำมาวางบนจานแต่งด้วยเครื่อง ยกเสิร์ฟโดยครึ่งบนปลายังเป็นๆ อยู่ อ้าปากพะงาบๆ ครีบยังกระดิกได้ แต่ครึ่งล่างทอดจนสุก
กินกับน้ำจิ้มซีฟู้ดและซอสเปรี้ยว โดยคนจีนเชื่อว่าการทานปลาสองแผ่นดินเป็นยาชูกำลัง ให้กินมากๆ จะช่วยให้ร่างกายแข็งแรง เชื่อไหม
(จะกินที ไม่ฆ่ามันให้ตายวะ ทรมานจิง)


อันดับ 3 อุ้งตีนหมี

เป็นอาหารที่นักเปิบมหาภัยชอบมากและเป็นเมนูสุดโหด เพราะการตัดอุ้งตีนหมีนั้น ไม่สามารถตัดขณะที่หมียังมีชีวิตได้ การฆ่าหมีเองก็ไม่ใช่
เรื่องง่าย เพราะหนังหมีจะหนามาก ยากต่อการฆ่า ดังนั้น ผู้ฆ่าจึงจับหมีถ่วงน้ำทั้งเป็น

หมีควายส่งเสียงร้องดังโหยหวนเมื่อถูกตะขอเหล็ก เกี่ยวร่างออกจากกรงขัง ไม่กี่นาทีต่อมามันก็ตกอยู่ในความมืดมิด เมื่อถูกกระสอบสวมคลุมร่าง
นักท่องเที่ยวจะยืนมองวินาทีสุดท้ายของหมีควายโชคร้ายในถังเก็บน้ำใบเขื่อง ด้วยสายตาเฉยชา หลังจากร่างใหญ่ดิ้นพราดๆ อยู่เพียงครู่ ทุกอย่าง
ก็สงบลง เพชฌฆาตรีบลงมีดเลือดสดๆ ไหลทะลักจากคอหมีลงสู่ถ้วยขนาดย่อม เลือดในถ้วยถูกผสมด้วยเหล้าขาวแล้วเวียนกันดื่ม หลังจาก
ยืนดู การชำแหละอุ้งตีนหมีเสร็จสิ้น นักท่องเที่ยวจึงกลับไปที่โต๊ะ นั่งรออาหารจานเด็ดที่เชื่อว่าจะช่วยทำให้คนแข็งแกร่งในกามกรีฑา ดุจเดียวกับ
ความแข็งแรงของอุ้งตีนหมี


อันดับ 2 ซุปตัวอ่อนของมนุษย์

เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงน่ะครับ เพียงแต่รูปที่นำมาเป็นของจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้

เมนูนี้เป็นอาหารเฉพาะบางกลุ่มเท่านั้นน่ะครับ มันมีขายอยู่ที่เฉินเซิ่น ประเทศจีน

การกินตัวอ่อนของมนุษย์ หรือทารกที่เพิ่งคลอดนั้นเป็นความเชื่ออย่างลับๆ ว่า จะช่วยเพิ่มคุณค่าอาหารหลายอย่างในหมู่ชาวจีน นั้นก็คือทำให้
ผิวสวยเนียน ร่างกายแข็งแรงต้านทานโรค และที่เชื่อกันมากก็คือช่วยบำรุงไตได้ดี

สำหรับวิธีการทำก็ไม่ยากเท่าไหร่ แค่เอาเด็กทารกแรกคลอด หรือเด็กที่ตายจากการทำคลอด ยิ่งเป็นเด็กผู้ชายยิ่งดี(เขาบอกว่ามีคุณค่าทางอาหารสูง)
มาสับ มาเคี่ยวเป็นซุปและใส่เนื้อหมูลงไปเป็นอันเสร็จ………..รสชาติเหมือนซุปสมุนไพร

อย่างไรก็ตามการนำเด็กทารกมาทำตุ๋นยาจีนเป็นอาหารที่ประเทศจีนนั้น ถือว่าผิดกฎหมาย ทำให้เมนูนี้ ต้องมีการสั่งเป็นพิเศษ หรือไม่ก็แอบ
ทำให้กับพวกที่อยากรับประทานอาหารแบบพิสดาร แบบนี้


อันดับ 1 เนื้อมนุษย์ที่ปาปัว นิว กินี

และก็มาถึงอันดับหนึ่งของเรา ที่ปาปัว นิวกินี เวลามีใครตายขึ้นไม่ว่าจะเป็นญาติของตน หรือคนต่างเผ่าที่ตกอยู่ในครอบครองของตน เขาจะไม่
นำศพไปฝังหรือเผา แต่จะนำศพไปไว้บนตะแกรงที่ยกพื้นสูงขนาดท่วมหัว ปล่อยให้ศพอยู่ในสภาพนั้นจนขึ้นอืด เกิดน้ำเหลืองเยิ้มไปทั้งตัวดีแล้ว
ก็จะเข้าป่าหาใบไม้ที่เป็นเครื่องเทศ เอามาพับเป็นกระทงเล็กๆ (คงอย่างที่เตรียมใบชะพลูจะกินกับเมี่ยง) เหมาะที่จะมีขนาดกินคำเดียว แล้วก็เชิญ
พรรคพวกเพื่อนฝูงให้มารวมกันอยู่ใต้ตะแกรงศพนั้น นำเอาไม้ปลายแหลมแทงศพให้เป็นรู ให้น้ำเหลืองไหลย้อยออกมา นำกระทงใบไม้ที่เตรียม
รองรับน้ำเหลืองนั้น พอได้มากดีแล้วก็กินทั้งน้ำเหลืองและใบไม้ กินกันจนไม่มีน้ำเหลืองแล้วก็นำศพนี้ไปต้มซุปกับผักต่างๆ กินกันต่อไป

แต่ถ้าจะกินมนุษย์ที่สะใจที่สุดต้องยกให้ชนเผ่า โดโบดูรัส นิยมจับเหยื่อที่ล่ามาได้มากินแบบเป็นๆ นั้นคือต้องทรมานเหยื่อจนใกล้จะตายแต่ไม่ให้
ถึงตาย จากนั้นก็เจาะกะโหลกให้เป็นรูลึกๆ เสียก่อน แล้วค่อยสอดไม้เล็กๆ ที่มีปลายแบบชอนเข้าไปตักสมองออกมากิน เหยื่อก็ดิ้นไปดิ้นมา
ดูแล้วน่ารักอย่างยิ่ง... (โหดซะไม่มี)
อนุสรณ์สถาน คือสถานที่ หรืออาคาร ซึ่งก่อสร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์ ระลึกถึงเหตุการณ์
หรือคุณความดีของบุคคลในอดีต
ที่อเมริกามีเรื่องราวมากมาย ที่เรียกได้ว่าเกิดเป็นอนุสรณ์สถานขึ้น

และนี่คือ 10 อันดับอนุสรณ์สถานแห่งอเมริกา



อันดับ 10 : เพิร์ลฮาร์เบอร์ (PEARL HARBOR)

ทุกๆ ที่ที่เราไปล้วนมีความหมายทั้งนั้น เพิร์ลฮาร์เบอร์ก็เช่นกัน ประวัติศาสตร์ที่ติดตรึงใจชาวอเมริกันไม่มีวันลืม การลอบโจมตีที่ช็อกคนทั้งโลก
เปลี่ยนอเมริกาให้ตื่นขึ้น สมรภูมิที่เราต้องปกป้อง ประวัติศาสตร์เลือด และชีวิตของอเมริกา เมื่อทหารเกือบ 1,000 คนต้องมาตายในที่แห่งนี้
จากการซุ่มโจมตีของฝูงบินติดอาวุธ นับเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ การระดมยิง และทำลายล้างได้จมเรือรบยูเอสเอสอริโซน่า ให้ดำดิ่งสู่ก้นทะเล
พร้อมชีวิตทหารนับพันๆ ภายในชั่วพริบตาหายนะที่ทุกวันนี้ภาพสะเทือนใจแห่งความทรงจำยังปรากฏ อนุสรณ์สถานสีขาวเหนือซากเรือรบอริโซน่า
สิ่งสักการะแก่ผู้มาเยี่ยมเยือนเพิร์ลฮาร์เบอร์ ให้ทุกคนได้ระลึกถึงว่าสำนึกแห่งความรักชาติเกิดขึ้นที่นี่


อันดับ 9 : อนุสาวรีย์วอชิงตัน ( WASHINGTON MONUMENT)

นี่เป็นอนุสรณ์สถานที่ชาวอเมริกันสร้างไว้เพื่อรำลึกถึงบุคคลที่ พวกเขารัก บุรุษผู้ยิ่งใหญ่ จอร์จ วอชิงตัน แท่นหินสีขาวสูงเสียดฟ้ากลางอุทยาน
ในภูเขาเวอร์นอน ที่ตั้งอนุสาวรีย์ประธานาธิบดีคนแรกของอเมริกา เครื่องหมายแห่งประชาธิปไตย สัญลักษณ์ของเอกราช ส่องประกายเจิดจ้า
ท้าทายความสูงประกาศโดยทั่วกันว่า ดินแดนแห่งนี้ สิทธิ เสรีภาพอยู่เหนือสิ่งใด อนุสาวรีย์ที่งามสง่าพอๆ กับรัฐบุรุษผู้ให้กำเนิดอเมริกา ดึงดูด
และเชิญชวนให้ชาวอเมริกันได้ย้อนระลึกถึง และภูมิใจที่ได้เกิดเป็นคนอเมริกัน


อันดับ 8 : อุทยานแห่งชาติเกตตีสเบิร์ก (GETTYSBURG NAT’ L PARK)

สนามรบแห่งการสูญเสีย สมรภูมิที่ทำให้เราต้องตระหนักถึงความสามัคคีของคนในชาติ สถานที่นี้จะบอกเล่าเรื่องราว และชี้ชะตาของคนอเมริกัน
ว่าจะแยก หรือรวมเป็นหนึ่ง เมื่อเกตตีสเบิร์กเป็นจุดที่สงครามกลางเมืองระหว่าง ฝ่ายเหนือ และฝ่ายใต้มาบรรจบกัน โศกนาฏกรรมครั้งใหญ่เกิดขึ้น
การสู้รบที่ผลแพ้ชนะกระทบต่ออนาคตของประเทศ ณ ที่นี้ได้สร้างรอยด่างประวัติศาสตร์อเมริกาให้ทุกคนคิด และหวนกลับมาหลอมรวมอเมริกา
ให้เป็นหนึ่งเดียว


อันดับ 7 : เมาท์รัชมอร์ (MOUNT RUSHMORE)

มันตั้งตระหง่าน หน้าผาที่สูงชันบนเทือกเขา แบล็คฮิลส์ เซาธ์ดาโกต้า พวกเขาคอยเฝ้าดูความเป็นไปของประเทศที่เขาได้สร้างขึ้น ภูผาหิน
แกรนิตขนาดใหญ่ ที่ตั้งของรูปแกะสลักใบหน้าประธานาธิบดีอเมริกา ทั้งสี่ วอชิงตัน เจฟเฟอร์สัน รูสเวลท์ ลินคอล์น สำนึกความรักชาติผุดพล่าน
และแทรกซึมเข้าสู่ร่างกายของคนอเมริกา ทุกคนที่เข้ามาเยี่ยมชมความรู้สึกของความภูมิใจที่ยิ่งใหญ่ แรงบันดาลใจที่ทำให้ชาวอเมริกันยืนหยัด
และพร้อมต่อสู้ได้อีกครั้ง


อันดับ 6 : อินดีเพนเดนซ์พาร์ค (INDEPENDENCE PARK)

ประวัติศาสตร์ชาติอเมริกาได้ถือกำเนิด สถานที่ที่บุคคลสำคัญเคยยืนตรงจุดนี้ ที่ที่พวกเขาได้ป่าวประกาศอิสรภาพอย่างสมบูรณ์ ตามทางเดินที่
มุ่งตรงสู่ อินดีเพนเดนซ์ฮอล รอยเท้าของเบนจามิน แฟรงคลิน และจอร์จ วอชิงตัน ที่เคยเดิน ศูนย์กลางความมั่นคงทุกอย่างของอเมริกา เสียงที่
ก้องกังวานของระฆังแห่งเสรีภาพ หลักเชิดชูอุดมคติในอิสรภาพ และความเสมอภาคอย่างแน่วแน่ ณ สถานที่แห่งนี้ทุกสิ่งได้เกิดขึ้น ประชาธิปไตย
ของชาติ ประวัติศาสตร์ของอเมริกา


อันดับ 5 : สุสานแห่งชาติอาร์ลิงตัน (ARLINGTON NATIONAL CEMETERY)

กลางทุ่งกว้าง...หินจารึกสีขาวกว่า 250,000 แท่ง วางเรียงรายตลอดแนว นี่คือสุสานของทหารทุกระดับชั้นในทุกสงครามของอเมริกา เหล่าทหารหาญ
ที่พร้อมพลีกายเสียสละเพื่อมาตุภูมิของตนเอง ผู้มาเยือนทุกคนเมื่อมายังสุสานแห่งนี้ต่างรับรู้ได้ถึงความงดงาม โศกเศร้า และรุ่งโรจน์ในคราวเดียวกัน
ชัยชนะ และความพ่ายแพ้จากสงครามได้สะท้อนเกียรติให้เหล่าทหาร ผู้รับใช้ชาติสมควรแก่การยกย่อง ปลุกจิตสำนึกของการรักชาติให้เกิดแก่ชาว
อเมริกันทุกคน


อันดับ 4 : ป้อมอลาโม (THE ALAMO)

จิตวิญญาณเสรีของชาติ คำจำกัดความสั้นๆ ของสนามรบ ที่ซึ่งวีรบุรุษรุ่นแรกของเท็กซัสยืนหยัดจนวินาทีสุดท้าย สนามที่เลือดรักชาติจะปรากฏ
ตำนานของการต่อสู้เพื่อ อิสรภาพ ภายในป้อมอลาโม ที่ที่รวมเหล่าบุรุษผู้กล้าไปสู่การปลดปล่อยเท็กซัสจากอำนาจ ของเม็กซิโก สนามประลอง
เลือดที่จะกระตุ้นจิตวิญญาณ ของคนอเมริกันทุกคน ได้สำนึกรักชาติบ้านเกิดของตนเอง


อันดับ 3 : อนุสาวรีย์ลินคอล์น (LINCOLN MEMORIAL)

อนุสรณ์สถานแด่ผู้ยิ่งใหญ่ รัฐบุรุษที่คนทั้งอเมริการัก และเคารพ สัญลักษณ์ของความกล้า ความรักชาติ ความเป็นอเมริกัน อนุสาวรีย์อับราฮัม
ลินคอล์น จุดเริ่มต้นตำนานความรักชาติ เครื่องหมายเพื่อเชิดชูเสรีภาพ วีรกรรมที่ต่างต้องยกย่อง สุนทรพจน์ คำปราศรัยแห่งประวัติศาสตร์
ถูกรวบรวมผ่านจิตรกรรมฝาผนังภายในอนุสาวรีย์ลินคอล์น ที่สุดท้ายแห่งการรำลึกถึง เพื่อให้คนรุ่นหลังได้รับรู้ถึงความรู้สึก อารมณ์ส่วนลึกที่
เขามีต่อประเทศ ต่อประชาชน และต่อความเสมอภาค


อันดับ 2 : เทพีเสรีภาพ (STATUE OF LIBERTY)

เธอมาในฐานะทูตแห่งมิตรภาพ ของขวัญชิ้นสำคัญที่ฝรั่งเศสตั้งใจมอบให้แก่อเมริกา และเธอตั้งตระหง่านอยู่เหนือเกาะลิเบอร์ตี้ในอ่าวนิวยอร์ค
เทพีเสรีภาพ สัญลักษณ์ของผู้แสวงหาอิสระ เสรีภาพ การต้อนรับอย่างอบอุ่นให้กับผู้ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความฝัน และพร้อมยืนเคียงข้าง
ผู้เดินทางมาสร้างชีวิตใหม่ ทุกเชื้อชาติ ทุกภาษา อิสรภาพเปิดทางให้พวกเขาเดินทางเข้าออกประเทศนี้ กำแพงเกียรติยศที่สลักรายชื่อผู้
อพยพกว่า 420,000 คนที่มาถึงที่นี่ ผู้เดินตามความฝัน ความต้องการอย่างแรงกล้า เพื่อค้นพบจุดมุ่งหมายของตนเอง


อันดับ 1 : เวิร์ลด์เทรดเซ็นเตอร์ (WORLD TRADE CENTER)

ตึกแฝดระฟ้าเคียงคู่อเมริกา สัญลักษณ์แห่งโลกการค้าเสรี ระบบทุนนิยมแห่งความมั่งคั่ง และมั่นคงของชาติมหาอำนาจอย่างอเมริกา บัดนี้
เวิร์ลด์เทรดเซ็นเตอร์เหลือเพียงเถ้าถ่าน ที่ทิ้งชีวิตผู้คนเกือบ 3,000 ชีวิตไว้อยู่เบื้องหลัง การก่อการร้ายภายใต้รหัส ไนน์วันวัน (911) ได้ดึง
ชีวิตคนอเมริกันให้ดิ่งสู่เบื้องล่างอย่างไม่มีวันจะหวนกลับ ปฏิบัติการที่ท้าทายยักษ์ใหญ่อเมริกา โศกนาฏกรรมที่เป็นเหมือนประวัติศาสตร์
ณ จุดนี้ กราวนด์ซีโร่ (GROUND ZERO) ที่ที่ความรุ่งโรจน์ และล่มสลายรวมอยู่ที่เดียวกัน ลางบอกเหตุให้อเมริกาตระหนักถึงสันติภาพที่จะ
เกิดแก่คนทั้งโลก
ว่ากันด้วยเรื่องผีกันบ้างครับ เห็นบางท่านเอาผีจากมหาวิทยาลัยต่างๆมาให้อ่าน วันนี้ขอเสนอจาก
ต่างประเทศกันบ้าง ว่าจะน่ากลัวขนาดไหน ผีบางตัวใช่เอาแต่แลบลิ้นหลอกผู้คน แต่บางตัวก็นำมา
ซึ่งความสยอง ความโชคร้ายและหายนะแก่ผู้ที่พบตัวมัน จนหลายคนไม่อยากจะพบเจอพวกมัน
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน


อันดับ 10 ปรากฏการณ์แม่มดเบลล์ (The bell witch)

ที่ตั้ง เมืองอดัมส์ มลรัฐเทนเนสซี อเมริกา

ในปี ค.ศ.1817 สถานที่แห่งนี้ขึ้นชื่อปรากฏการณ์หลอนที่มีชื่อที่สุดในอเมริกา ผู้คนทุกสารทิศพากันหลั่งไหลมาชม รวมไปถึงประธานาธิบดีด้วย
ซึ่งก็ไม่เคยผิดหวังทุกคนได้เห็นกันทั่วหน้า ซึ่งว่ากันว่าเรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นจากหญิงชราชื่อ เคท แบทส์ ซึ่งเป็นเพื่อนบ้านของครอบครัวเบลล์
เธอเจ็บแค้นมากเมื่อครอบครัวนี้โกงเธอในการซื้อขายที่ดิน ดังนั้นก่อนตายเธอได้สาปแช่งว่าถ้าเธอเป็นผีฉันจะให้ดู และนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ครอบครัวของเบลล์ต้องประสบเคราะห์กรรมต่างๆ นาๆ จากผีที่มองไม่เห็นไม่ว่าจะเป็น ข้าวของแตกกระจาย เข็มทิ่มตามร่างกาย นมหกเลอเทอะ
ดึงผ้าคลุมจากเตียง การทุบตี แถมเสียงหัวเราะสยองแกล้งแบบสะใจ แม้กระทั่งตอนสมาชิกในครอบครัวตายผีตนนี้ยังไม่วายที่จะแสดงอิทธิฤทธิ์
หัวเราะร้องเพลงอย่างเริงร่าและดังยาวนานจนผู้ร่วมพิธีศพคนสุดท้ายออกจากงานฝังศพ

แม้ทุกวันนี้ครอบครัวเบลล์จะหมดรุ่นไปแล้วเกือบ 200 ปี ก็ตาม แต่ทุกวันนี้วิญญาณยังปรากฏตัวอยู่ เนื่องจากมีผู้พบเห็นปรากฏการณ์แปลกๆ
ภายในถ้ำแห่งหนึ่งตั้งอยู่ในบริเวณครั้งหนึ่งที่เคยเป็นสมบัติของเบลล์


อันดับ 9 ผีที่บ้านเลขที่ 50 เบิร์กเลย์สแควร์ (50 Berkeley Square)

สถานที่ตั้ง บ้านเลขที่ 50 เบิร์กเลย์ สแควร์ กรุงลอนดอน

ผีที่นี่ดุจริงๆ เพราะมันทำให้เหยื่อเคราะห์ร้ายต้องสังเวยให้กับมัน แม้ไม่มีใครทราบที่มาแต่หลายคนต่างโดนมันฆ่าถ้าใครก็ตามที่มานอนพักบ้านร้าง
หลังนั้น เช่นในปี 1887 กะลาสีสองคนชื่อเอ็ดเวิร์ด บลันเดนและโรเบิร์ต มาร์ติน ได้อาศัยบ้านหลังนี้พักชั่วคราวและต่อมากลางคืนบลันเดนก็พบเห็น
ผีและสู้กับมันส่วนมาร์ตินหนีออกมาเพื่อแจ้งตำรวจและเมื่อกลับมาก็พบบลันเดนตายอยู่บันไดชั้นล่างในสภาพคอหัก ดวงตาเบิกโพลง นอกจากนั้น
จอร์จ แคนนิ่ง นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ก็โดนด้วยและ เสียชีวิตในปี 1827

ปัจจุบันคนละแวกแถวนั้นมักตกใจเสียงทุบและเสียงกระแทกปึงปังในบางคืน


อันดับ8 บ้านอมิตี้วิลล์ (Amityville House)

สถานที่พบเจอ บ้านเลขที่ 112 โอนอเวนิว อเมริกา

บ้านอมิตี้วิลล์ โอนอเวนิว เป็นบ้านทรงดัทซ์ โคโลเนียล หน้าตาเหมือนโรงนาทรงสูงที่ที่สวยงามมากหลังหนึ่ง ถูกสร้างตั้งแต่ปี 1924 แต่เมื่อ
13 พฤศจิกายน ค.ศ. 1974 เกิดการฆาตกรรมหมู่ครอบครัวหนึ่งจากนั้นเป็นต้นมาที่นี่ก็กลายเป็นบ้านผีดุไปในบัดดล โดยที่โด่งดังที่สุดคือกรณี
ของครอบครัวของจอร์จ ลัทซ์ก็อาศัยอยู่บ้านหลังนี้และพบเหตุการณ์ประหลาดแทบทุกคืนไม่ว่าจะเป็นเสียง รอยเท้า ผีอำ ฯลฯ นอกจากนั้น ไม่ว่า
ใครหน้าไหนเอาเรื่องนี้มาแต่งเป็นนิยายหรือทำเป็นหนังจะโดนคำสาป เห็นได้จาก เคยมีคนนำเรื่องอมิตี้วิลล์มาสร้างหนังปรากฏว่าหลายคนในกอง
ถ่ายต่างประสบเคราะห์กรรมต่างๆ นาๆ ไม่ว่าจะเป็นปรากฏการณ์ลึกลับ เจ็บไข้ ได้ป่วย หรือแม้กระทั่งตายอย่างลึกลับ (ปัจจุบันเราสามารถหาดู
เรื่องนี้จากหนังเรื่องผีทวงบ้านครับ) ระวังจะโดนคำสาบ!!


อันดับ 7 เดอะ ฟลายอิ้ง ดัชท์แมน (Flying Dutchman)

สถานที่พบเจอ แหลม Good Hope ฮอลแลนด์ และท้องทะเลทั่วโลก(ไทยก็เคยเจอ)

เป็นเรือปีศาจที่ปรากฏตัวให้เห็นบ่อยๆ ในทั่วโลกมาแล้วหลายร้อยปี เดิมคือ เรือ Flying Ducthman เป็นของกัปตัน Van Der Decken ที่นิสัยไม่ดี
โดยเขาหายสาปสูญที่แหลม Good Hope ก่อนหายได้ตะโกนขึ้นว่า "ข้าจะยังคงวนเวียนอยู่ที่แหลมแห่งนี้ ถึงแม้ว่าข้าจะต้องล่องเรือจนถึงวาระสุด
ท้ายของโลกก็ตาม" และนับจากนั้นเป็นต้นมาผู้คนทั่วโลกก็พบเรือปีศาจแบบนี้ และว่ากันว่าเรือใดที่เห็นเรือปีศาจนี้จะต้องรับความพินาศ โดยในปี
1881 คนประจำเรือเจ้าชายจอร์จที่ 5 เห็นเรือนี้จากนั้นไม่นานเขาก็พลัดตกเสากระโดงเรือตาย.... ทุกวันนี้ก็ยังมีคนกล่าวอ้างอยู่เสมอว่าเห็นเรือ
ฟลายอิ้ง ดัทช์แมนยังคงรอนแรมอยู่เดียวดายกลางทะเลด้วยรูปลักษณ์อันเศร้าโศกและสยดสยอง ริชาร์ด วากเนอร์ คีตกวีชื่อก้องโลกได้อาศัย
ตำนานปีศาจนี้แต่งอุปรากรที่มีชื่อว่า Der Fliegende Hollander


อันดับ 6 วิญญาณที่โบลถ์บอร์ลีย์ (Borley Rectory)

สถานที่พบเจอ กรุงลอนดอนทางตะวันออกเฉียงเหนือ 60 ไมล์ แถบชานเมืองเอสเซกซ์(ปัจจุบันโดนทุบทิ้งแล้ว)

เมื่อปี ค.ศ.1362 นักบวชนิกายเบเนดิกทีนและแม่ชีจากสำนักชีในละแวกนั้นถูกพ่อมดหมอผีและชาวบ้านที่งมงายจับสองคนไปฆ่าโดยนักบวชถูก
แขวนคอส่วนแม่ชีถูกฝังทั้งเป็นภายในผนังของสำนักชี ซึ่งต่อมาก็ได้กลายเป็นโบสถ์แห่งบอร์เลย์ในปี 1863 และหลังจากนั้นเหตุการณ์ประหลาดก็
เกิดขึ้นต่อเนื่องไม่ว่าจะเป็นก้อนหินที่ขว้างไปโดยไม่รู้ที่มา รอยเท้าประหลาด เสียง และภาพหลอนขนาดปรากฏตัวในตอนกลางวันแสดๆ เลยก็มี
โดยปี 1929 เธอปรากฏตัวถี่ขึ้นและเริ่มเห็นเต็มตัวโดยในลักษณะแต่งกายเป็นชีและท่าทางใบหน้าเศร้าหมองร้องขอให้มีผู้พบศพเธอเพื่อประกอบ
พิธีทางศาสนา และมีผู้ถ่ายรูปเธอออกมาเพียบ จนกระทั่งคืนวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1939 ก็เกิดเพลิงไหม้ตอนเที่ยงคืนและเผาโบสถ์จนเหลือเพียง
ซากและโบสถ์ก็โดนทุบทิ้งจนผีไม่ปรากฏตัวออกมาอีกเลย


อันดับ 5 วิญญาณสีชาด
กษัตริย์เฮนรีที่ 4
สถานที่พบเจอ ฝรั่งเศส ???

วิญญาณสีชาดตนนี้ไม่มีที่มา แต่มันสำแดงตนเสมอในช่วงเปลี่ยนกษัตริย์ของฝรั่งเศส เป็นร่างของชายสูงใหญ่ ใส่เสื้อคลุมสีชาด มีเครายาวสีชาด
เช่นกัน ร่างนี้ไปปรากฏต่อพระพักตร์ของกษัตริย์เฮนรีที่ 4 แห่งฝรั่งเศส ในคืนที 13 พฤษภาคม 1610 ในห้องพระบรรทมของกษัตริย์เฮนรีเลยทีเดียว
แล้วมันก็กล่าวคำพยากรณ์ว่า "พรุ่งนี้เจ้าจะต้องตาย" พระองค์ตกใจมากและรีบเรียกตัวขุนนางผู้ใหญ่มาหารือเพื่อหาทางแก้ไข และอีก 12 ชั่วโมงต่อมา
เฮนรีก็ถูกผลักตกจากบัลลังก์จริงตามคำพยากรณ์เพราะฟรองซัวราวิลแย็คทำการรัฐประหาร นอกจากนี้วิญญาณตัวนี้ยังสำแดงตนให้นโปเลียน โปนา
ปาร์ตเห็นถึง 4 ครั้ง และครั้งที่ 4 คือคืนวันที่ 5 พฤษภาคม 1821 ก็เป็นวันตายของนโปเลียนนั้นเอง


อันดับ 4 ผีชุดขาวแห่งเบอร์ลิน (Ghost White of The Berlin)

สถานที่พบเจอ เยอรมัน ฝรั่งเศส ??

ว่ากันว่าเป็นวิญญาณของอันนา ซิโดว์ ภรรยาลับของกษัตริย์โจอาคิมที่ 2 ในศตวรรษที่ 16 ที่ถูกจับขังจนถึงแก่กรรม ซึ่งใครก็ตามที่ได้เห็นวิญญาณ
หญิงสีขาวเมื่อไหร่คนในราชวงศ์นั้นจะประสบเคราะห์กรรม เช่นปี 1619 มหาดเล็กของกษัตริย์จอร์น ซิกมุนด์เห็นร่างสีขาวก่อนที่จะตายโดยอุบัติเหตุ
จากนั้นกษัตริย์จอห์น ซิกมุนด์ก็สวรรคต, นอกจากนั้นกษัตริย์หลายพระองค์ก็เห็นวิญญาณนี้ปรากฏที่รัสเซีย ปารีส และครั้งสุดท้ายที่ปรากฏคือวันที่
29 เมษายน 1945 ซึ่งเป็นวันล่มสลายของนาซีเยอรมันที่เบอร์ลินพอดี!!


อันดับ 3 วิญญาณที่เรือควีนแมรี่ (Queen Mary)

สถานที่พบเจอ เรือควีนแมรี่(ปัจจุบันถูกจอดไว้ที่เมืองลองบีช โดยดัดแปลงเป็นพิพิธภัณฑ์ โรงแรม)

ควีนแมรี่เป็นเรือใหญ่มากลำหนึ่งในประวัติศาสตร์อังกฤษ เคยถูกนำมาใช้ในสงครามโลกครั้งที่ 2 แล้วถูกปลดระวางในปี 1967 เพื่อนำไปทำโรงแรม
ซึ่งมีเรื่องเล่ากันว่าถ้าใครตายในเรือแมรี่มีอันต้องเป็นผีเฝ้าเรือทุกตน โดยมีผู้พบเห็นผีนี้ตามจุดทั่วเรือในลักษณะต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นรอยเท้าที่เปียก
น้ำ เด็กน้อยตามหาแม่และหายตัวไปต่อหน้า สตรีในชุดราตรีโบราณ ฯลฯ


อันดับ 2 วิญญาณของพระนางแคทเธอรีน โฮวาร์ด (Catherine Howard)

สถานที่พบเจอ หอคอยลอนดอน ประเทศอังกฤษ

แม้พระนางจะโดนสำเร็จโทษหลังอภิเษกกับพระเจ้าเฮนรีที่ 8 ได้เพียง 8 เดือน ไปตั้งแต่วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 1542 แล้วก็ตาม ระเบียงของพระราชวัง
แฮมตัน คอร์ท พาเลสทุกวันนี้ยังมีเสียงร้องโหยหวนในยามดึกเสมอ นอกจากนี้ยังสิงสู่อยู่ที่อีธอร์น มาเนอร์ ฮอลลิงบอร์น เค้นท์อีกด้วย


อันดับ 1 วิญญาณของพระนางแอนน์ โบลีน (Anne Boleyn the headless Queen)

สถานที่พบเจอ หอคอยลอนดอน ประเทศอังกฤษ (รูปถ่ายนี้ถูกถ่ายในธันวาคม ที่ศาล Hampton ใกล้ลอนดอน)

พระเจ้าเฮนรีที่ 8 นี้ช่างเป็นต้นเหตุสร้างเรื่องสยองจริงๆ เมื่อพระนางแอนน์ โบลีนพระมเหสีองค์ที่สองถูกสำเร็จโทษ 19 พฤษภาคม ปี 1536 โดยก่อน
ตายนางกล่าวว่า "โอ้ ความตาย นำข้าให้หลับใหล พาข้าให้พักอย่างเงียบสงัด นำข้าไปสู่ผี..ที่สุดแสนจะเงียบงัน ออกไปจากอกของข้าที่ห่วงหา
อาทร ย่ำระฆังความตายที่เศร้าสร้อย ปล่อยให้มันก้องกังวาน"

ว่ากันว่าวิญญาณของพระนางจะกลับมาที่ บลิคลิง ฮอลล์ ในนอร์ฟอล์ค ในวันครบรอบที่พระนางถูกสำเร็จโทษ ซึ่งสถานที่แห่งนั้นพระนางเคยใช้
ชีวิตในวัยเยาว์ที่นั้นเลยผูกพันเป็นพิเศษ ซึ่งมีรายงานปรากฏวิญญาณของพระนางไปยังสถานทีประสูติไม่ว่างเว้น โดยผู้คนมักเห็นร่างของหญิงสูง
ศักดิ์ปราศจากศีรษะ นั่งอยู่ในรถม้าที่ลากโดยม้าที่ปราศจากหัวสี่ตัว และคนขับซึ่งไม่มีหัวเช่นกัน รถม้าจะวิ่งช้าๆ ไปยังอาคารโบราณที่บลิงตันและ
หายลับไปยังประตูหน้า นอกจากนี้พระนางยังปรากฏอยู่ที่หอคอยแห่งลอนดอนอีกด้วย โดยผู้ใดที่อยู่ตรงข้ามพระนางจะพลอยได้พบหายนะไปด้วย
เสียสิ้น โดยใครพบเจอคนนั้นอาจหัวใจวายตายในเวลาไม่นาน ไม่ก็เสียสติ
คุณเชื่อเรื่องมนุษย์ต่างดาวหรือเปล่า? ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมีรายงานกว่า 100,000 รายงาน
ในการพบจานบินหรือมนุษย์ต่างดาวจากทั่วโลก ซึ่งมีทั้งเรื่องจริงหรือไม่จริงบ้าง รวบรวมมาให้
ท่าน 11 เรื่องที่คิดว่าดังที่สุดแล้วสำหรับเรื่องของมนุษย์ต่างดาว เพื่อให้คุณพิจารณาว่ามนุษย์
ต่างดาวมีจริง!!


เหตุการณ์ที่1 เครื่องบินสีทอง

จากจำนวนวัตถุลึกลับเกี่ยวกับจานบิน ชิ้นนี้ดังที่สุด ซึ่งถูกพบในโคลัมเบีย อเมริกาใต้ มีอายุมากกว่า 1000 ปี มีลักษณะเหมือนเครื่องบินเจ็ท ปีกเป็น
รูปสามเหลี่ยมของยุคปัจจุบัน มีที่นั่งนักบินอยู่ตรงส่วนหัวและมีหางเหมือนเครื่องบินปัจจุบันด้วย ซึงแน่นอนชาวพื้นเมืองในโคลัมเบียคงไม่สามารถ
สร้างเครื่องบินนี้แน่ โดยเฉพาะเมื่อ 1000 ปีก่อน

อาจเป็นไปได้ว่ามนุษย์ต่างดาวได้เดินทางมาถึงอเมริกาใต้ ในยานอวกาศใต้ ในยานอวกาศที่มีรูปร่างเหมือนเครื่องบินเจ็ทตั้งแต่เมื่อ 1000 ปีมาแล้ว
และคงสร้างยานลำนี้ไว้เป็นที่ระลึก


เหตุการณ์ที่2 เด็กเขียว

ในเดือนสิงหาคม 1887 ในสเปน มีเด็กสองคน ซึ่งมีผิวหนังสีเขียวเป็นมันวาว และมีดวงตารีเฉียง เดินออกมาจากถ้ำแห่งหนึ่ง เด็กสองคนนั้นสวม
เสื้อผ้าที่ทำจากวัตถุประหลาด และพูดภาษาประหลาดที่ผู้ชาญภาษาจากบาร์เซโลนาไม่เข้าใจ และไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นภาษาอะไร เด็กที่เป็น
ผู้ชายตายก่อน ส่วนเด็กผู้หญิงยังอยู่ต่อมาและหัดพูดภาษาสเปนได้จนคล่องเธอเล่าว่าเธอถูกนำมาจากดินแดนแห่งหนึ่งซึ่งมีแต่ยามสนธยามี
พระอาทิตย์ขึ้น และถูกหอบมาทิ้งไว้ที่ถ้ำนั่น

ดินแดนที่ว่านั้น เป็นดินแดนของดาวอีกดวงหนึ่งใช่หรือไม่ หรือว่าพวกเธอถูกส่งตัวมายังโลกด้วย ยาวอวกาศหรือเปล่า หรือมาจากมิติที่สี่ก็เป็นได้


เหตุการณ์ที่ 3 การระเบิดที่ไซบีเรีย

เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 1908 มีการระเบิดอย่างรุนแรงเกิดขึ้นที่ไซบีเรีย เป็นแรงระเบิดที่รุนแรงกว่าฮิโรชิม่าถึง 10 เท่าดังไปค่อนโลก มีบางคน
บอกว่า ตนเองได้เห็นแสงไฟและเห็นควันรูปเห็ด อย่างไรก็ตามผลสุดท้ายสาเหตุการระเบิด ไม่มีใครทราบแน่ชัด

ในปี 1927 นักวิทยาศาสตร์ชาวโซเวียต ได้ออกทำการสำรวจและพบบริเวณที่เกิดการระเบิดนั้น ซึ่งกินบริเวณกว้างขวางถึง 800 ตารางไมล์
จากการลงความเห็นของผู้วชาญ แรงระเบิดนั้น ไม่ใช่เพราะอุกกาบาตแน่ มีบางคนบอกว่ามันอาจเป็นดาวหาง อาจเป็นเสี้ยวหนึ่งของหลุมดำ หรือ
อาจเป็นแสงเลเซอร์จากดวงดาวอื่นก็ได้

อเล็กซานเดอร์ คาซานท์เซฟ วิศวกรด้านอาวุธของรัสเซียลงความเห็นว่า มันเป็นพวกยานอวกาศของมนุษย์ต่างดาว ซึ่งขณะบินทำการสำรวจโลก
ตกลงมา และเกิดระเบิดขึ้น


เหตุการณ์ที่ 4 เมื่อมนุษย์ต่างดาวเป็นฆาตกร

วันที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2491 รัฐเคนตักกี้ อเมริกา เรืออากาศเอก โธมัส แมนเทลล์ จูเนียร์ ได้ขับเครื่องบินซี 118 แถวน่านฟ้าของเมืองแมรีส์วิลล์
เพื่อไปตรวจสอบการพบเห็น UFO ส่องแสงขนาดใหญ่ และเคลื่อนตัวอย่างช้าๆ และเงียบเชียบข้ามท้องฟ้า ซึ่งทางฐานทัพก็จับสัญญาณมันได้เช่นกัน

แมนเทลล์ขับแล้วไปเจอ UFO ลำนั้นทันที เขารายงานวัตถุนั้นต่อศูนย์เป็นระยะในการติดตาม “พระเจ้า! มันน่ามหัศจรรย์ มันอยู่เหนือผมพอดี
และมันใหญ่โตมโหฬารมาก มันดูเหมือนโลหะรูปกลมใหญ่มาก ผมกำลังพยายามไปให้ถึงมัน มันกำลังบินสูง มันเริ่มบินสูง.... พระเจ้า! มันน่า
มหัศจรรย์มาก! มันเริ่มร้อน มันร้อน ร้อนมากทีเดียว ผมทำไม่...”จากนั้นสัญญาณก็ถูกตัด

เวลาต่อมา มีการพบซากเครื่องบินและศพของเรืออากาศเอกแมนเทลล์ มีรายงานว่าซากเครื่องบินมีรูและรอยขีดข่วนจากความร้อนสูง เหมือนกับว่า
เครื่องบินถูกทำลายจากรังสีบางอย่าง

ปัจจุบันการตายของแมนเทลล์ยังเป็นปริศนาต่อไป ว่าสิ่งที่เขาพบนั้นคือ UFO จริงหรือไม่?


เหตุการณ์ที่ 5 แอเรีย 51 (Area 51)

พื้นที่แห่งนี้ตั้งอยู่ในกลางทะเลทรายทางตอนใต้ของรัฐแคลิฟอร์เนีย เนวาด้า และอริโซน่า ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยเริ่มก่อสร้างมาตั้งแต่ปี1958
เป็นพื้นที่ที่ลึกลับที่สุดเพราะเป็นเขตหวงห้ามไม่ให้คนนอกเข้าและมีการรักษาความปลอดภัยสูงสุด แม้ทางการสหรัฐจะบอกว่าพื้นที่นี้เป็นเพียง
สถานที่ทดสอบอาวุธหรือเครื่องบินรบใหม่ของสหรัฐ แต่มีหลายคนบอกว่าอาจเป็นฐานทัพของมนุษย์ต่างดาวหรือไม่ก็สถานที่ติดต่อกับมนุษย์ต่างดาว
นั่นก็อาจจะเป็นเพราะมีคนจำนวนมาก อ้างว่าได้เห็นวัตถุบินลึกลับหรือ UFO (Unidentified Flying Object) บินอยู่เหนือบริเวณนั้นบ่อยครั้ง จน
หลายคนสงสัยว่าบริเวณพื้นที่ 51 นั้นต้องมีอะไรมากกว่าสถานที่ซ้อมรบเครื่องบินรบ แน่นอน


เหตุการณ์ที่ 6 จานบินตกที่รอสเวลล์

ในปี ค.ศ.1948 เมืองรอสเวลล์ เกิดเหตุการณ์วัตถุบินลึกลับตกในพื้นที่ทะเลทรายของชาวเมืองนาม แม็ค บราเซิล วัตถุชิ้นตกและชิ้นส่วนตก
กระจัดกระจายเป็นวงกว้าง ไม่นานหลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ทางการก็มาถึงและเก็บวัตถุในพื้นที่ที่เกิดเหตุจนหมด ซึ่งผลจากการตรวจสอบตอนแรก
บอกว่าวัตถุที่ตกลงมานั้นเป็นวัตถุที่ไม่เคยมีอยู่ในโลก และแต่ละชิ้นโลหะมีคุณสมบัติแปลกประหลาด แต่ถึงอย่างไรเพราะอะไรไม่ทราบสาเหตุ
ภายหลังทางการดันกลับคำให้การบอกว่าวัตถุที่ตกลงมาเมืองรอสเวลล์นั้นคือบอลลูนตรวจสภาพอากาศ?

ทำไมต้องกลับคำผลการตรวจสอบ?? แล้ววัตถุบินลึกลับนั้นเป็นจานบินหรือไม่? ไม่มีใครทราบได้ แม้ว่าเหตุการณ์จะล่วงเลยมานานหลายสิบปีแล้ว
ก็ตามแต่หลายๆ ฝ่ายยังหวังว่าทางการสหรัฐจะเปิดเผยความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้


เหตุการณ์ที่ 7 การลักพาตัวเบตตี้และบาร์นีย์ ฮิลลส์ (betty and Barney Hil)
คือการลักพาตัวที่โด่งดังที่สุดและเป็นครั้งแรกที่มนุษย์ต่างดาวลักพาตัวคนในโลก

19 กันยายน 1961 ขณะที่เบตตี้และบาร์นีย์ ฮิลลส์ สองสามีภรรยาขับรถผ่านแดนทะเลทรายของรัฐนิวแฮมเชียร์ จู่ๆ ก็มีจานบินแล่นขวางหน้า
และบังคับให้สองสามีภรรยาคู่นี้หยุดรถ

สิ่งมีชีวิตในยานนั้นมีอยู่ 5 คน(ตัว) สูง 5 ฟุต ตาโต ไม่มีจมูก และผิวหนังสีเทา เมื่อคนพวกนี้มาใกล้ สองสามีภรรยาก็รู้สึกเหมือนสะกดจิต ทั้งคู่
ถูกนำตัวเข้าไปในยานและถูกตรวจสอบทางกายภาพ มนุษย์ต่างดาวเหล่านั้นสอบถามสองสามีภรรยาโดยใช้พลังจิต แต่เมื่อเขาพูดกันเองก็พูด
ด้วยภาษาแปลกประหลาด

จากนั้นสองสามีก็ถูกลบความทรงจำ และถูกปล่อยตัวออกมา ซึ่งภายหลังสองสามีภรรยาคู่นี้ถูกสะกดจิต ทั้งคู่ก็เล่าเหตุการณ์นี้อย่างละเอียด จน
เป็นเรื่องน่าสนใจอย่างมาก จนต้องออกโทรทัศน์รายการพิเศษในปี 1975


เหตุการณ์ที่ 8 การชำแหละวัวในท้องทุ่ง (Cattle Mutilations)

9 มิถุนายน 2005 ได้เกิดปรากฏการณ์ประหลาดวัวตายอย่างลึกลับจำนวนมากในท้องทุ่งในประเทศสหรัฐอเมริกาและบราซิลและแถบอื่นๆ ทั่วโลก

โดยการตายลึกลับนี้แทบไม่เชื่อว่าเป็นฝีมือของมนุษย์จะสามารถทำได้ เพราะแต่ละพื้นที่วัวถูกฆ่าจำนวนมากโดยทั้งหมดนั้นลงมือเสร็จเพียงคืน
เดียว โดยส่วนใหญ่ท้องของวัวเคราะห์ร้ายถูกเจาะเป็นรูขนาดใหญ่รูปไข่ ด้วยเครื่องมือบางอย่างและถูกทำให้ไหม้แต่ไม่ใช้เลเซอร์หรือมีด และไม่
มีเลือดไหลออกมาอวัยวะบางส่วนเช่น อวัยวะเพศ ลูกตาและเต้านมโดยเฉพาะลำไส้มักหายไป แต่ไม่มีร่องรอยการดิ้นรนเพื่อหนีความตายของวัว
หรือแม้กระทั่งรอยเท้าในบริเวณที่มันตาย

มีการศึกษาเพื่อไขปริศนาปรากฏการณ์นี้มีมานานแล้ว ในขณะที่มนุษย์มีเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า แต่ทว่าก็ยังหาคำตอบไม่ได้ว่ามันเกิดจากอะไร


เหตุการณ์ที่ 9 วงกลมประหลาดบนทุ่งหญ้า (Crop Circles)

ในช่วงปี 1980 เกิดเหตุการณ์ประหลาดคือประจักษ์ต่อชาวโลก ใน 29 ประเทศ ทั่วโลก คือเกิดวงกลมประหลาด หรือสัญลักษณ์ประหลาดที่ทุ่ง
ข้าวสาลี ข้าวบาเล่ห์ ข้าว และอื่นๆ

โดยจากรายงานการเกิด Crop Circles กว่า 10,000 ครั้ง พบว่าในช่วงปลายปี 1980 นั้น Crop Circles ส่วนใหญ่รูปแบบจะออกมาในลักษณะ
เส้นตรงซึ่งจะออกมาคล้ายๆกับสัญลักษณ์ แต่ภายหลังจากปี 1990 รูปแบบของ Crop Circles จะซับซ้อนมาก จนแทบไม่เชื่อว่าเป็นฝีมือของ
มนุษย์จะทำได้ นอกเสียจากจะเป็นมนุษย์ต่างดาว แล้วหาเป็นมนุษย์ต่างดาวจริง พวกเขาจะทำทำไม มันเป็นสัญญาบอกชาวโลกหรือ หรือว่าเป็น
ที่จอดยานบิน หรือว่าเป็นการเล่นสนุก??


และเหตุการณ์ที่ 10 เทปวีดีโอผ่าตัดมนุษย์ต่างดาว

ในปี 1992 ผู้สร้างภาพยนต์เรย์ ซานติลี อ้างว่าได้ซื้อฟิล์มภาพยนต์ขนาด 16 มิลลิเมตร มีความยาวกว่า 91 นาที(ไม่เปิดเผยถึงราคาที่ซื้อมา) เป็น
ฟิล์มภาพยนต์ที่เกี่ยวกับการผ่าตัดซากมนุษย์ต่างดาวหลังเหตุการณ์การตกที่รอสเวลส์โดยซื้อมาจากช่างภาพของกองทัพ(ไม่เปิดเผยชื่อ)ที่ถูก
มอบหมายให้ทำการถ่ายภาพยนต์การผ่าศพมนุษย์ต่างดาวที่ Fort Worth, Texas เพื่อทำการถ่ายภาพยนต์

จนกระทั่งในปี 1995 ภาพยนต์ชุดนี้ได้ถูกนำมาออกแสดง และเครือข่ายทีวีของ FOX นำภาพยนต์ชุด นี้ออกอากาศในรายการ One-hour special
ผลปรากฏว่ามีคนสนใจดูมากจนต้องมีการนำมาออกอากาศซ้ำอีกถึงสี่ครั้งหลังจากนั้นทำให้มีการถ่ายถอดออกไปใน อังกฤษ , เยอรมัน ,ฮอลแลนด์ ,
บราซิล และอิตาลี
10 สุดยอดเรือรบ

10. Hood Class - Battle Cruiser; Great Britain

ระวางขับน้ำ 42500 ตัน อาวุธ ปืนหลัก 15 นิ้ว 8 กระบอก
เรือที่เป็นที่ความภาคภูมิใจของกองทัพเรืออังกฤษมันสร้างความกลัวให้แก่ข้าศึกในปี 1930-1940 แต่พอสงครามโลกครั้งที่ 2 ระเบิดขึ้นมันได้ลง
สู่สนามรบครั้งแรกกับเรือ BISMARCK ของนาซีจากการยิงจากBISMARCK เพียง 5 ตับก็ทำให้เรือ HOOD จมลงในเวลาประมาณ 8 นาที


9. DEUTSCHLAND CLASS - POCKET Battleship

ระวางขับน้ำ 16200 ตัน อาวุธ ปืนหลัก 11 นิ้ว 6 กระบอก
เมื่อเยอรมันแพ้สงครามโลกครั้งที่ 1 ทำให้ฝ่ายเยอรมันถูกจำกัดไม่ให้สร้างเรือรบที่มีระวางขับน้ำไม่เกิน 10000 ตันแต่ฝ่ายเยอรมันกลับสร้างเรือ
ชิ้นนี้ขึ้นซึ่งเรือลำนี้วางกระดูกงูก่อนฮิตเลอร์ขึ้นอำนาจซะอีกโดยต่อ ขึ้นมา 3 ลำคือ1.Deutschland 2. Admiral Scheer 3. Admiral Graf Spee
เรือชั้นนี้มีขนาดเล็กมีความเร็วสูงและมีปืนที่ดีเรือถูกเรียกว่า PANZER SHIP


8. ESSEX CLASS - AIRCRAFT CARRIER

ระวางขับน้ำ 34480 ตัน อาวุธ ปืนหลัก 5 นิ้ว 12 กระบอก AA-GUN 20 mm.และ 40 mm. ประมาณ 68 กระบอก
เครื่องบิน 100 เครื่อง(F4U CORSAIR)เรือบรรทุกเครื่องบินของกองทัพเรือสหรัฐที่ใช้ถล่มเกาะต่างที่ญี่ปุนยึดเป็นฐานบินลอยน้ำที่มีความสำคัญ
ต่อกองทัพเรือมากจึงเป็นเป้าของเครื่องบินกามิกกาเซ่


7. BISMARCK CLASS - BATTLESHIP

ระวางขับน้ำ 50153 ตัน อาวุธ ปืนหลัก 15 นิ้ว 8 กระบอก
สุดยอดเรือรบของนาซีเป็นเรือที่ฮิตเลอร์ชอบมากโดยเรือชั้นนี้ต่อมา 2 ลำคือ1.BISMARCK 2. TIRPITZ มันได้ชื่อเสียงจากการที่ BISMARCK
จมเรือ HOOD ของอังกฤษแต่พอข่าวการจมเรือ HOOD ไปถึงกองทัพเรืออังกฤษทำให้อังกฤษส่งกองเรือออกตามล่าและในอีก 3 วันเรือ
BISMARCK ก็ถูกกองเรืออังกฤษรุมยำและจมลงเมือ BISMARCK จม อังกฤษก็หันไปล่าเรือTIRPITZ และมันก็ถูกจมหลังจากที่ไปแอบอยู่แถวๆนอร์เวย์


6. NORTH CAROLINA CLASS BATTLESHIP

ระวางขับน้ำ 44800 ตัน อาวุธ ปืนหลัก 16 นิ้ว 9 กระบอก
เรือรบที่ทำหน้าที่คุ้มกันกองเรือของสหรัฐในแปซิฟิกมีขนาดใหญ่และมีปืนที่มีอำนาจทำลายสูง


5. Fletcher Class - Destroyer; United States

ระวางขับน้ำ 2900 ตัน อาวุธ ปืนหลัก 5 นิ้ว 5 กระบอก
เรือประจัญบานขนาดเล็กของกองทัพเรือสหรัฐหน้าที่คือการคุ้มกันเรือสินค้า มันมีขนาดเล็กและความเร็วสูงและยังติดตั้งระเบิดน้ำลึกที่ใช้
ทำลายเรือดำน้ำด้วย


4. TICONDEROGA CLASS - MISSLE CRUISER

ระวางขับน้ำ 9646 ตัน อาวุธ ปืนหลัก 5 นิ้ว 2 กระบอก
แท่นปล่อยจรวดแบบ MK 41 2แท่น เรือลาดตระเวนของกองทัพเรือสหรัฐมีหน้าที่หลักๆคือการป้องกันภัยทางอากาศและต่อต้านเรือทั้งผิวน้ำ
และดำน้ำมีจรวดแบบ STANDARD SM 2 ตอร์ปิโดMK 32 จรวดHARPOON และสามารถสนับสนุนหน่วยทหารได้ด้วยจรวดTOMAHAWK MISSLE


3. QUEEN ELIZABETH CLASS - BATTLESHIP

ระวางขับน้ำ 36450 ตัน อาวุธ ปืนหลัก 15 นิ้ว 8 กระบอก
เรือที่ฝ่ายอังกฤษสร้างขึ้นเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 มันมีขนาดใหญ่มากและทำให้ข้าศึกไม่กล้าออกมาสู้ด้วยและได้ปรับปรุงและใช้
ในสงครามโลกครั้งที่2ด้วย


2. NIMITZ CLASS - AIRCRAFT CARRIER

ระวางขับน้ำ 97000-100000 ตัน
อาวุธ เครื่องบิน 85 เครื่อง (F-14D,F-18C,EA-6,EC-2,S-3B,SH-60,C-2A)เรือบรรทุกเครื่องบินขนาดยักษ์มันมีเครื่องบินถึง 85 ลำและมันไป
ถึงทุกที่ในโลกได้ด้วยเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ 2 เตาและมีอาวุธป้องกันตัวคืออาวุธนำวิถีพื้นสู่อากาศแบบ SEA SPARROW 3แท่นๆละ 8 ท่อ
ยิง ระบบปืน VALCAN PHALANXขนาด 20 mm. 4 แท่น (นี่ก็ของปัจจุบัน)


1. Iowa Class - Fast Battleship

ระวางขับน้ำ 57450 ตัน อาวุธ ปืนหลัก 16 นิ้ว 9 กระบอก
สุดยอดเรือรบของสหรัฐมีขนาดใหญ่มากๆเรือชั้นนี้ถูกสร้างมา6ลำ
1. USS Iowa 2. USS New Jersey 3. USS Missouri
4. USS Wisconsin 5. USS Illinois 6. USS Kentucky
เป็นเรือที่อายุการใช้งานยาวนานมากที่สุดในโลกคือสงครามโลกครั้งที่2ไปจนถึงสงครามอ่าวปี 1991 โดยทำการติดตั้งแท่นปล่อยจรวด
TOMAHAWK MISSLE

เพื่อน





เพื่อน คือจมูก ถ้าไม่มีตายแน่นอนโดยเฉพาะตอนที่ทำข้อสอบ หรือไม่ก็ต้องหายใจทางปากไป แต่คงจะไม่สะดวกเท่าจมูกหรอกนะ
เพื่อน คือแหล่งเงินทุนมหาศาล เวลาที่ไม่มีเงินทีไรนึกถึงเพื่อนทุกที ตามด้วยคำพูดที่ว่า เฮ้ย! ยืมเงินหน่อยซิ เพื่อน คือกรมประชาสัมพันธ์ เวลาที่มีข่าวคราวอะไร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องส่วนตัวหรือเรื่องส่วนรวมรับรองทั่วถึง
เพื่อน คือกระโถน เวลาที่มีความสุข ทุกข์ เศร้า เหงา ก็มาระบายกับเพื่อน เพื่อน คือตู้เสื้อผ้า ไม่ว่าจะเป็น เสื้อ กางเกง รองเท้า ถุงเท้า เข็มขัด ยืมได้ทั้งนั้น
เพื่อน คือคนช่วยหาร วันไหนอยากกินเหล้า หรือเที่ยวอาร์ซีเอ บอกเถอะเดี๋ยวก็มีคนช่วยหาร
เพื่อน คือคนที่เราต้องเลี้ยงดู ต่อจากเมื่อกี้ ถ้าเพื่อนไม่มีตังค์ก็ไปแจมเฉยๆก็ได้
เพื่อน คือคนที่พากลับห้อง วันไหนเมาไม่รู้เรื่องก็เพื่อนอีกนั่นแหละที่พากลับมานอนห้องอันอบอุ่น
เพื่อน คือคนที่ทะเลาะด้วย วันไหนไม่มีอะไรทำก็หาเรื่องทะเลาะเล่นได้
เพื่อน คือใบตองแห้ง วันไหนไม่มีอะไรทำก็เห่าเพื่อนซะเลย
เพื่อน คือคนที่ดูหนัง กินข้าวด้วย(เฉพาะตอนที่ไม่มีแฟนหรือว่าอกหัก ถ้ามีแฟนก็ไปกับแฟนน่ะซิ)
เพื่อน คือคนที่เล่นกีฬาด้วยกัน(แบบว่ามันต้องเล่นเป็นทีมน่ะเลยต้องพึ่งเพื่อนๆ) เพื่อน คือคนที่จะทำงานด้วย โดยเฉพาะตอนที่มีรายงาน แฮ่ๆ กูอยู่ด้วยคนซิ นะนะนะ
เพื่อน คือคนที่มีการบ้านให้ลอกสม่ำเสมอ ว่าแต่ว่าตอนนี้การบ้านเสร็จหรือยังล่ะ เอามาลอกมั่งดิ เพื่อน คือคนที่ทำให้รู้จักเสียเงินซื้อของขวัญวันเกิด เกิดกันทั้งปี
เพื่อน คือคนที่ไม่ทอดทิ้งกัน คำนี้พูดกันบ่อยๆโดยเฉพาะตอนที่เข้าห้องสอบ







เพื่อน คือพันธสัญญาแห่งความเข้าใจที่ตรงกัน

เพื่อน คือบุคคลที่คบกับเราในลักษณะที่เราเป็นอยู่ โดยที่เราไม่ต้องใส่หน้ากาก

เพื่อน คือมิตรแท้ที่กล้าให้คำมั่นสัญญาต่อมิตรได้

เพื่อน คือมิตรที่พยายามส่งเสริมเรา ให้ความสนใจเรา เชื่อในตัวเราตามที่เราเป็นจริง

เพื่อน คือคนที่ยังอยู่กับเรา ร่วมทุกข์ร่วมสุขแม้ในเวลาที่เราไม่มีประโยชน์จะให้

เพื่อน คือคนที่รักเรา แม้เราจะทำสิ่งไม่ดีที่สุด แต่ศัตรูเกลียดเรา แม้เราจะทำแต่สิ่งที่เขาก็รู้ว่าดีที่สุด

เพื่อน คือคนที่เข้าใจเราได้โดยไม่จำเป็นต้องพูดมากเพราะเขาคุ้นเคย และรู้จักความคิดความอ่านของเรา แค่มองหน้าก็รู้ปัญหา แค่มองตาก็เข้าใจ

เพื่อน คือผู้ที่หาโอกาสช่วยจัดสรรอย่างเต็มที่โดยที่เราไม่ต้องเอ่ยปากขอ

เพื่อน คือบุคคลที่เราสามารถฝากชีวิตจิตใจได้โดยเฉพาะยามทุกข์ลำบาก

เพื่อน คือคนที่ไม่ได้เห็นผิดเป็นชอบ แต่ตักเตือนเราไม่ให้หลงผิดและแนะนำทิศให้ถูกทาง

เพื่อน คือคนที่ไม่ได้เห็นด้วยกับเราในทุกอย่างทุกครั้ง แต่เป็นคนที่คิดพิจารณาและตักเตือนเราด้วยในบางครั้ง

เพื่อน คือคนที่ช่วยเราด้วยความเต็มใจ

เพื่อน คือคนที่ก้าวเหยียดอย่างสุดกำลังเพื่อช่วยเรา

กีฬาพื้นบ้านไทย







กีฬาพื้นบ้านไทยกีฬาพื้นบ้านของไทย เป็นกิจกรรมหนึ่งที่สามารถช่วยส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมไทย ในการสืบทอดมรดกไทยได้อีกอย่างหนึ่ง และได้มีมาตั้งแต่สมัยของกรุงสุโขทัยจนถึงสมัยปัจจุบันนี้ เป็นกิจกรรมกีฬา ที่ไม่ได้ใช้ อุปกรณ์ในการเล่นอะไรมากมายสามารถหาได้ง่ายตามหมู่บ้าน หรือชุมชนในชนบท อาจทำได้ด้วยสิ่งวัสดุต่างๆ เช่น กะลามะพร้าวใช้ในการแข่งขันวิ่งกะลา ก้อนหินใช้ในการแข่งขันเล่นหมากเก็บ และไม้ไผ่ ใช้เล่นในการแข่งขันวิ่ง หรือเดินขาโถกเถก ฯ จะเห็นว่าเป็นกิจกรรมกีฬา ที่แข่งขันกันเพื่อความสนุสนาน และความสามัคคีในหมู่คณะ และเป็นการแข่งขันที่เล่นกันแบบอิสระ และเป็นการแข่งขันด้วยความสมัครใจของผู้เล่นเอง ไม่มีการบังคับในการเล่น มีกฎกติกาที่ไม่บังคับอะไรมากมาย แต่ก็อยู่ระเบียบ จะเน้นในเรื่องของความสนุกสนาน กันมากกว่า การแพ้หรือชนะ เล่นได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่

การใช้คอมพิวเตอร์เบื้องต้น





การใช้คอมพิวเตอร์เบื้องต้น(Microsoft Windows)เนื้อหาจะเป็นการแนะนำ การใช้คอมพิวเตอร์เบื้องต้น ต่าง ๆ ที่จำเป็น ตั้งแต่การเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ การจับเม้าส์ การกดปุ่มบนเม้าส์ ตลอดจนการเปิดโปรแกรมต่าง ๆ ขึ้นมา การปิดโปรแกรมต่าง ๆ เมื่อไม่ใช้งาน การแก้ไขเครื่องในกรณีเครื่องเกิดอาการ Hang การปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ถูกต้องการเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์1. ตรวจสอบปลั๊กเสียก่อนว่า เสียบเรียบร้อยดีหรือไม่2. ที่จอภาพ กดสวิทซ์ เพื่อเปิดจอภาพ3. ที่ CPU. ด้านหน้า จะมีสวิทซ์ เพื่อเปิดเครื่อง (กดเบา ๆ )4. เมื่อเปิดเครื่องแล้ว รอสักครู่ ที่จอภาพจะมีข้อความเพื่อตรวจสอบระบบต่าง ๆ5. จากนั้น จะมีเสียง 1 ครั้ง6. ที่หน้าจอภาพจะขึ้นคำว่า Windows เป็นการเริ่มต้นการใช้เครื่อง เพราะเครื่องจะต้องเรียกโปรแกรมควบคุมเครื่องที่ชื่อว่า Windows เสียก่อน (จะใช้เวลาประมาณ 3 นาที)7. จากนั้นหน้าจอภาพจะมีโปรแกรมต่าง ๆ อยู่ด้านซ้าย และด้านล่างจะมีแถบ Task Bar ให้เราทำงานได้การเลิกใช้เครื่องคอมพิวเตอร์1. คลิ๊กที่ปุ่ม Start2. เลื่อนมาคลิ๊กที่คำสั่ง Shut Down3. คลิ๊กปุ่ม Ok4. รอสักครู่เครื่องจะเริ่มทำการปิดระบบต่าง ๆ ของคอมพิวเตอร์5. จากนั้นเครื่องจะดับเอง6. ยกเว้น จอภาพ ให้กดสวิทซ์ ปิดจอด้วยส่วนประกอบของหน้าจอภาพเมื่อเข้าสู่วินโดวส์เรียบร้อยแล้ว1. ส่วนที่เป็นภาพฉากหลัง เราเรียกว่า ส่วนพื้นจอภาพ (Desk Top)2. ด้านซ้ายของจอภาพ ส่วนที่เป็นรูปภาพ และมีคำบอกว่าเป็นโปรแกรมอะไร เรียกว่า (Icon) ลักษณะจะเป็นโปรแกรมต่าง ๆ ที่วินโดวส์ จะนำมาไว้ที่จอภาพ ส่วนใหญ่จะเป็นโปรแกรมที่ถูกเรียกใช้บ่อย ๆ3. ด้านล่างของจอภาพที่เป็นแถบสีเทา เราเรียกว่า (Task Bar) เป็นส่วนบอกสถานะต่าง ๆ โดยที่ด้านขวาของ ทาสบาร์ จะบอกเวลาปัจจุบัน สถานะของแป้นพิมพ์ว่า ภาษาไทย หรือ อังกฤษ โปรแกรมที่ถูกฝังตัวอยู่ ส่วนแถบตรงกลางจะใช้บอกว่า ขณะนี้เราเปิดโปรแกรมอะไรใช้งานอยู่บ้าง ด้านซ้ายของจอภาพ จะมีปุ่ม Start ใช้ในการเริ่มเข้าสู่โปรแกรมต่าง ๆการกดปุ่มบนเม้าส์ (Mouse) เม้าส์ในปัจจุบันจะมี 2 ปุ่ม ซ้าย และขวา ส่วนถ้าเป็นแบบล่าสุด จะมีปุ่มคล้าย ๆ ล้ออยู่ตรงกลางเพื่อใช้ในการเลื่อน ขึ้น และ ลง บนหน้าจอภาพ (Scroll Bar) ในการกดปุ่มบนเม้าส์นั้น จะมีวิธีกดปุ่มบนเม้าส์อยู่ทั้งหมด 4 วิธีคือ1. คลิ๊ก (Click) คือการใช้นิ้วชี้กดปุ่ม ซ้าย ของเม้าส์ 1 ครั้ง ใช้ในการเลือกสิ่งต่าง ๆ บนจอภาพ2. ดับเบิ้ลคลิ๊ก (Double Click) คือการใช้นิ้วชี้กดปุ่ม ซ้าย ของเม้าส์ 2 ครั้ง ติดกันอย่างเร็ว ใช้ในการเปิดโปรแกรมที่อยู่ด้านซ้ายของจอภาพ3. แดร๊ก (Drag) คือการกดปุ่ม ซ้าย ของเม้าส์ ค้างไว้ แล้วลากเม้าส์ ใช้ในการย้ายสิ่งต่าง ๆ4. คลิ๊กขวา (Right – Click) คือการใช้นิ้วกลาง กดปุ่ม ขวา ของเม้าส์ 1 ครั้ง ใช้ในการเข้าเมนูลัดของโปรแกรม (Context Menu)การเปิดโปรแกรมขึ้นมาใช้งาน เช่น ต้องการเปิดโปรแกรมเครื่องคิดเลข (Calculator)1. คลิ๊กที่ปุ่ม Start ตรงแถบทาสบาร์ด้านล่างซ้ายมือ2. เลื่อนเม้าส์เพื่อให้ลูกศรที่จอภาพ ชี้ที่คำว่า Program ตรงนี้ชี้ไว้เฉย ๆ ครับ ไม่ต้องคลิ๊กเม้าส์3. เลื่อนเม้าส์ไปทางขวา ในแนวนอนก่อน แล้วเลื่อนขึ้นไปที่คำว่า Accessories ไม่ต้องคลิ๊กเม้าส์4. เลื่อนเม้าส์ไปทางขวา ในแนวนอนอีก แล้วเลื่อนลงมาที่คำว่า Calculator5. จากนั้นจับเม้าส์ให้ นิ่ง ๆ คลิ๊กเม้าส์ 1 ที (คือการกดปุ่ม ซ้าย ของเม้าส์ 1 ครั้ง)6. กรอบต่าง ๆ จะหายไป แล้วเครื่องจะเปิดหน้าต่าง เครื่องคิดเลขขึ้นมา ถือว่าเสร็จขึ้นตอนการเปิดโปรแกรมเครื่องคิดเลข ขึ้นมาใช้งาน ครับการปิดโปรแกรม เครื่องคิดเลข1. ที่หน้าต่างเครื่องคิดเลข (Calculator) ตรงด้านบน ขวา มือจะมีปุ่มอยู่ 3 ปุ่ม2. ให้เลื่อนเม้าส์ ไปที่ปุ่มที่ 3 ทางขวามือ (ปุ่มจะเป็นรูป กากบาท X ) เมื่อเลื่อนเม้าส์ไปวางจะมีคำว่า Close3. คลิ๊ก 1 ครั้ง เครื่องก็จะปิดหน้าต่างโปรแกรมเครื่องคิดเลขไปการขยายหน้าต่างของโปรแกรมให้เต็มจอภาพ (Maximize)1. ที่หน้าต่าง ด้านบน ขวามือ ให้คลิ๊ก ปุ่มที่สอง เครื่องจะมีข้อความขึ้นมาว่า Maximize (แต่ถ้าหน้าต่าง ถูกขยายขึ้นมาอยู่แล้ว คำจะเปลี่ยนเป็น Restore ถ้าคลิ๊กลงไปจะกลายเป็นหน้าต่าง ขนาดปกติครับ)2. จากนั้นเครื่องจะขยายหน้าต่างให้เต็มจอ ส่วนใหญ่เราจะขยายหน้าต่างให้เต็มจอเพื่อให้เห็นรายละเอียดในหน้าต่างมากขึ้นครับการลดขนาดหน้าต่างเป็น Icon ลงใน ทาสบาร์ หรือ การซ่อนหน้าต่าง (Minimize)1. ที่หน้าต่าง ด้านบน ขวามือ ให้คลิ๊กปุ่มที่เป็นขีด ลบ ถ้าเลื่อนเม้าส์ไปวางจะขึ้นคำว่า Minimize2. คลิ๊กลงไป 1 ครั้ง เครื่องก็จะซ่อนหน้าต่าง ลงไปไว้ด้านล่างตรงทาสบาร์3. ที่ทาสบาร์จะมีคำเป็นลักษณะปุ่มเขียนว่า ซ่อนโปรแกรมอะไรไว้4. แต่ ถ้าอยากเรียกขึ้นมาใช้งานตามเดิม ให้คลิ๊กที่ปุ่มด้านล่างที่ทาสบาร์ที่เราซ่อนเอาไว้ เครื่องก็จะเปิดหน้าต่างโปรแกรมที่เราซ่อนเอาไว้ ขึ้นมาใช้งานได้ตามเดิมการปิดโปรแกรมที่ทำให้เครื่องเกิดอาการแฮงค์ (Hang) อาการแฮงค์ คืออาการที่เราอาจจะเปิดโปรแกรมขึ้นมาหลายโปรแกรม แล้วทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานไม่ทัน หรือเราอาจจะคลิ๊กเม้าส์หลายครั้ง ในขณะที่เครื่องกำลังประมวลผลอยู่ จนเครื่องทำงานไม่ทัน เลยเกิดอาการแฮงค์ ซึ่งอาการแฮงค์นี้จะทำให้เราไม่สามารถคลิ๊กอะไรที่จอภาพได้เลย วิธีการแก้ไขเบื้องต้นคือ1. ที่แป้นพิมพ์ ให้เรากดปุ่ม Ctrl + Alt ค้างไว้ แล้วอีกมือหนึ่ง กดปุ่ม Delete แล้วปล่อย2. เครื่องจะขึ้นหน้าต่าง Task Manager ขึ้นมา3. จากนั้น เราคลิ๊กที่โปรแกรมที่เราคิดว่าทำให้เครื่องแฮงค์4. ด้านล่าง คลิ๊กที่ปุ่ม End Task เครื่องจะปิดโปรแกรมนั้นทิ้งไป5. ถ้าไม่มีการปิดโปรแกรมอื่นอีก ก็ให้เลือกปุ่ม Cancel ออกมา

ระบบสารสนเทศ




ระบบสารสนเทศ


ระบบสารสนเทศ (Information System หรือ IS) เป็นระบบพื้นฐานของการทำงานต่างๆ ในรูปแบบของการเก็บ (input) การจัดการ (processing) เผยแพร่ (output) และมีส่วนเก็บข้อมูล (storage)
องค์ประกอบของระบบสารสนเทศคือฮาร์ดแวร์, ซอฟต์แวร์, มนุษย์, กระบวนการ, ข้อมูล ,เครือข่าย
ระบบสารสนเทศนั้นจะประกอบด้วย
ข้อมูล (Data) หมายถึง ค่าของความจริงที่ปรากฏขึ้น โดยค่าความจริงที่ได้จะนำมาจัดการปรับแต่งหรือประมวลผลเพื่อให้ได้สารสนเทศที่ต้องการ
สารสนเทศ (Information) คือ กลุ่มของข้อมูลที่ถูกตามกฎเกณฑ์ตามหลักความสัมพันธ์ เพื่อให้ข้อมูลเหล่านั้นมีประโยชน์และมีความหมายมากขึ้น
การจัดการ (Management) คือ การบริหารอย่างเป็นระบบ เป็นการกำหนดเป้าหมายและทิศทางการจัดการขององค์กรนั้น ซึ่งต้องมีการวางแผน กำหนดการ และจัดการทรัพยากรภายในองค์กร เพื่อให้บรรลุถึงวัตถุประสงค์ขององค์กรนั้นๆ

การสื่อสารข้อมูล






ความหมายของการสื่อสารข้อมูลการสื่อสารข้อมูล หมายถึง การโอนถ่าย (Transmission) ข้อมูลหรือการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างต้นทางกับปลายทาง โดยใช้อุปกรณ์ทางอิเล็กทรอนิกส์หรือเครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีตัวกลาง เช่น ซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์สำหรับควบคุมการส่งและการไหลของข้อมูลจากต้นทางไปยังปลายทาง นอกจากนี้อาจจะมีผู้รับผิดชอบในการกำหนดกฏเกณฑ์ในการส่งหรือรับข้อมูลตามรูปแบบที่ต้องการองค์ประกอบพื้นฐานของระบบสื่อสารข้อมูลการสื่อสารข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์นั้น จะทำได้ก็ต่อเมื่อมีองค์ประกอบต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ 1. ผู้ส่งหรืออุปกรณ์ส่งข้อมูล(Sender)ข้อมูลต่างๆ ที่อยู่ต้นทางจะต้องจัดเตรียมนำเข้าสู่อุปกรณ์สำหรับส่งข้อมูล ซึ่งได้แก่เครื่องพิมพ์ หรืออุปกรณ์ควบคุมต่าง ๆ จานไมโครเวฟ จานดาวเทียม ซึ่งข้อมูลเหล่านั้นถูกเปลี่ยนให้อยู่ใน รูปแบบที่สามารถส่งข้อมูลนั้นได้ก่อน2. ผู้รับหรืออุปกรณ์รับข้อมูล (Receiver)ข้อมูลที่ถูกส่งจากอุปกรณ์ส่งข้อมูลต้นทาง เมื่อไปถึงปลายทางก็จะมีอุปกรณ์สำหรับ รับข้อมูลเหล่านั้นเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ต่อไป อุปกรณ์เหล่านี้ได้แก่ เครื่องพิมพ์ คอมพิวเตอร์ จานไมโครเวฟ จานดาวเทียม ฯลฯ
3. โปรโตคอล (Protocal)โปรโตคอล คือ กฏระเบียบ หรือวิธีการใช้เป็นข้อกำหนดสำหรับการสื่อสาร เพื่อให้ผู้รับและผู้ส่งเข้าใจกันได้ ซึ่งมีหลายชนิดให้เลือกใช้ เช่น TCP/IP, X.25, SDLC เป็นต้น
4. ซอฟต์แวร์ (Software)การส่งข้อมูลผ่านคอมพิวเตอร์จำเป็นต้องมีโปรแกรมสำหรับกำเนินการ และควบคุมการส่งข้อมูลเพื่อให้ได้ข้อมูลตามที่กำหนดไว้ ได้แก่ Novell’s netware] UNIX Windows NT ฯลฯ5. ข่าวสาร (Message)เป็นรายละเอียดซึ่งอยู่ในรูปแบบต่าง ๆ ที่จะส่งผ่านระบบการสื่อสาร ซึ่งมีหลายรูปแบบดังนี้5.1 ข้อมูล (Data) เป็นรายละเอียดของสิ่งต่าง ๆ ซึ่งถูกสร้างและจัดเก็บด้วยคอมพิวเตอร์ มีรูปแบบแน่นอน เช่น ข้อมูลเกี่ยวกับบุคคล ข้อมูลเกี่ยวกับสินค้า เป็นต้น ข้อมูลสามารถนับจำนวนได้และส่งผ่านระบบสื่อสารได้เร็ว5.2 ข้อความ (Text) อยู่ในรูปของเอกสารหรือตัวอักขระ ไม่มีรูปแบบที่แน่นอน ชัดเจนนับจำนวนได้ค่อนข้างยาก และมีความสามารถในการส่งปานกลาง5.3 รูปภาพ (Image) เป็นข่าวสารที่อยู่ในรูปของภาพกราฟิกแบบต่าง ๆ ได้แก่ รูปภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว ภาพวีดีโอ ซึ่งข้อมูลชนิดนี้จะต้องอาศัยสื่อสำหรับเก็บ และใช้หน่วยความจำเป็นจำนวนมาก5.4 เสียง (Voice) อยู่ในรูปของเสียงพูด เสียงดนตรี หรือเสียงอื่น ๆ ข้อมูลชนิดนี้จะกระจัดกระจาย ไม่สามารถวัดขนาดที่แน่นอนได้ การส่งจะทำได้ด้วยความเร็ว ค่อนข้างต่ำ 6. ตัวกลาง(Medium)เป็นตัวกลางหรือสื่อกลางที่ทำหน้าที่นำข่าวสารในรูปแบบต่าง ๆ จากผู้ส่งหรืออุปกรณ์ส่งต้นทางไปยังผู้รับ หรืออุปกรณ์รับปลายทาง ซึ่งมีหลายรูปแบบได้แก่ สายไป ขดลวด สายเคเบิล สายไฟเบอร์ออฟติก ตัวกลางอาจจะอยู่ในรูปของคลื่นที่ส่งผ่านทางอากาศ เช่น คลื่นไมโครเวฟ คลื่นดาวเทียม หรือคลื่นวิทยุ เป็นต้นการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์สำหรับสื่อสารข้อมูล เป็นการเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์ต้นทางเข้ากับคอมพิวเตอร์ปลายทาง โดยใช้ตัวกลางหรือสื่อกลางสำหรับเชื่อมต่อ ซึ่งสามารถทำได้หลายรูปแบบ การต่อแบบสายตรงตามรูปนั้น อาจจะต่อตรงโดยใช้ช่องต่อแบบขนานของเครื่อง ทั้ง 2 เครื่อง เพื่อใช้สำหรับโอนย้ายข้อมูลระหว่างเครื่องได้ หรืออาจจะต่อโดยใช้อินเทอร์เฟสคาร์ดใส่ไว้ใน เครื่องสำหรับเป้นจุดต่อก็ได้ ขึ้นอยู่กับลักษณะของการใช้งานเป็นการเชื่อมต่อ ระยะไกลจากคอมพิวเตอร์ต้นทางไปยังปลายทาง โดยผ่านเครือข่ายโทรศัพท์สาธารณะ
การส่งสัญญาณข้อมูล (Transmission Definition)การส่งสัญญาณข้อมูล หมายถึง การส่งข้อมูลหรือข่าวสารต่างๆจากอุปกรณ์สำหรับส่งหรือผู้ส่ง ผ่านทางตัวกลางหรือสื่อกลาง ไปยังอุปกรณ์รับหรือผู้รับข้อมูลหรือข่าว ซึ่งข้อมูลหรือข่าวสารที่ส่งไปอาจจะอยู่ในรูปของสัญญาณเสียง คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าหรือแสงก็ได้ โดยที่สื่อกลางหรือตัวกลางของสัญญาณนั้นแบ่งเป็น 2 ชนิด คือชนิดที่สามารถกำหนดเส้นทางสัญญาณได้ เช่น สายเกลียวคู่ (Twisted paire) สายโทรศัพท์ สายโอแอกเชียล (Coaxial) สายใยแก้วนำแสง (Fiber Optic) ส่วนตัวกลางอีกชนิดหนึ่งนั้นไม่สามารถกำหนดเส้นทางของสัญญาณได้ เช่น สุญญากาศ น้ำ และ ชั้นบรรยากาศ เป็นต้น
แบบของการส่งสัญญาณข้อมูลการส่งสัญญาณข้อมูล สามารถแบ่งได้เป็น 4 รูปแบบดังนี้ 1. การส่งสัญญาณทางเดียว (One-Way Transmission หรือ Simplex)การส่งสัญญาณแบบนี้ในเวลาเดียวกันจะส่งได้เพียงทางเดียวเท่านั้น ถึงแม้ว่าตัวส่งจะมีสัญญาณช่องทางก็ตาม ซึ่งมักจะเรียกการส่งสัญญาณทางเดียวนี้ว่า ซิมเพล็กซ์ ผู้ส่งสัญญาณจะส่งได้ทางเดียว โดยที่ผู้รับจะไม่สามารถโต้ตอบได้ เช่น การส่งวิทยุกระจายเสียง การแพร่ภาพโทรทัศน์2. การส่งสัญญาณกึ่งทางคู่ (Half-Duplex หรือ Either-Way)การส่งสัญญาณแบบนี้เมื่อผู้ส่งได้ทำการส่งสัญญาณไปแล้ว ผู้รับก็จะรับสัญญาณนั้นหลังจากนั้นผู้รับก็สามารถปรับมาเป็นผู้ส่งสัญญาณแทน ส่วนผู้ส่งเดิมก็ปรับมาเป็นผู้รับแทนสลับกันได้ แต่ไม่สามารถส่งสัญญาณพร้อมกันในเวลาเดียวกันได้ จึงเรียกการส่งสัญญาณแบบนี้ว่า ฮาร์ฟดูเพล็กซ์ (Half Duplex หรือ HD) ได้แก่ วิทยุสนามที่ตำรวจใช้ เป็นต้น3. การส่งสัญญาณทางคู่ (Full-Duplex หรือ Both way Transmission)การส่งสัญญาณแบบนี้สามารถส่งข้อมูลได้พร้อมกันทั้งสองทางในเวลาเดียวกัน เช่น การใช้โทรศัพท์ ผู้ใช้สามารถพูดสายโทรศัพท์ได้พร้อม ๆ กัน
มาตรฐานสากล(International Standards)เพื่อความเป็นระเบียบและความสะดวกของผู้ผลิตในการผลิตอุปกรณ์สื่อสารแบบต่าง ๆ ขึ้นมา จึงได้มีการกำหนดมาตรฐานสากล สำหรับระบบติดต่อสื่อสารข้อมูลขึ้น ซึ่งประกอบด้วยโปรโตคอล และสถาปัตยกรรมโดยมีการจัดตั้งองค์การสำหรับพัฒนา และควบคุมมาตรฐานหมายองค์กรดังต่อไปนี้1. ISO (The International Standards Organization)เป็นองค์การสากลที่พัฒนามาตรฐานสากลเกี่ยวกับสถาปัตยกรรมเครือข่าย โดยมีการแบ่งโครงสร้างในการติดต่อสื่อสารออกเป็น 7 ชั้น (Layers) 2. CCITT (The Conseclitive Committee in International)เป็นองค์กรสากลที่พัฒนามาตรฐาน v และ x โดยที่มาตรฐาน v ใช้สำหรับวงจรโทรศัพท์และโมเด็ม เช่น v29,v34 ส่วนมาจรฐาน x ใช้กับเครือข่ายข้อมูลสาธารณะเช่น เครือข่าย x.25 แพ็กเกจสวิตช์ (Package switch) เป็นต้น3. ANSI (The American National Standards Institute)เป็นองค์กรมาตรฐานของสหรัฐเมริกา ANSI ได้พัฒนามาตรฐานเกี่ยวกับการสื่อสารข้อมูลและ ระบบเครือข่ายมาตรฐานส่วนใหญ่จะ เกี่ยวข้องกับการประดิษฐ์ตัวเลข ที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารข้อมูลและมาตรฐานเทอร์มินัส4. IEE (The Institute of Electronic Engineers)เป็นมาตรฐานที่เกิดจากการรวมตัวของกลุ่มนักวิชาการ และผู้ปกครองอาชีพทางสาขาไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิกส์ในอเมริการ มาตรฐานจะเน้นไปทางด้านอุตสาหกรรมไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ ไมโครโปรเซสเซอร์ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในไมโครคอมพิวเตอร์ เช่น IEE 802.3 ซึ่งใช้ระบบ LAN (Local Area Network)5. EIA (The Electronics Industries Association)เป็นองค์กรมาตรฐานของอเมริกาได้กำหนดมาตรฐานทางด้านไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิกส์มาตรฐาน EIA จะขึ้นต้นด้วย RS (Recommended Standard) เช่น Rs-232-c เป็นต้น
การผลิตของผู้ประกอบการต่าง ๆ ไม่ว่าจะใช้มาตรฐานใดก็ตาม สิ่งที่ผลิตนั้นอย่างน้อยจะต้องได้ครบตามมาตรฐาน แต่อาจจะดีเหนือกว่ามาตรฐานก็ได้ ลักษณะของสัญญาณที่ใช้ในการส่งสัญญาณข้อมูลการส่งสัญญาณข้อมูล หรือข่าวสารต่าง ๆ สามารถทำได้ 2 ลักษณะดังนี้ 1. การส่งสัญญาณแบบอนาลอก(Analog Transmission)การส่งสัญญาณแบบอนาลอกจะไม่คำนึงถึงสิ่งต่าง ๆ ที่รวมอยู่ในสัญญาณเลย โดยสัญญาณจะแทนข้อมูล อนาลอก เช่น สัญญาณเสียง เป็นต้น ซึ่งสัญญาณอนาลอกที่ส่งออกไปนั้นเมื่อระยะห่างออกไปสัญญาณก็จะอ่อนลงเรื่อย ๆ ทำให้สัญญาณไม่ค่อยดี ดังนั้นเมื่อระยะห่างไกลออกไปสามารถแก้ไขได้โดยใช้เครื่องขยายสัญญาณ (Amplifier) แต่ก็มีผลทำให้เกิดสัญญาณรบกวน (Noise) ขึ้น ยิ่งระยะไกลมากขึ้นสัญญาณรบกวนก็เพิ่มมากขึ้น ซึ่งสามารถแก้ไขสัญญาณรบกวนนี้ได้โดยใช้เครื่องกรองสัญญาณ (Filter) เพื่อกรองเอาสัญญาณรบกวนออกไป2. การส่งสัญญาณแบบดิจิตอล(Digital Transmission)การส่งสัญญาณแบบดิจิตอลจะใช้เมื่อต้องการข้อมูลที่ถูกต้องชัดเจนแน่นอน ดังนั้นจึงจำเป็นต้องสนใจรายละเอียดทุกอย่างที่บรรจุมากับสัญญาณ ในทำนองเดียวกันกับการส่งสัญญาณแบบอนาลอก กล่าวคือ เมื่อระยะทางในการส่งมากขึ้น สัญญาณดิจิตอลก็จะจางลง ซึ่งสามารถแก้ไขได้โดยใช้อุปกรณ์ทำสัญญาณซ้ำ หรือรีพีตเตอร์(Repeater)ปัจจุบันการส่งสัญญาณแบบดิจิตอลจะเข้ามามีบทบาทสูงในการสื่อสารข้อมูล เนื่องจากให้ความถูกต้องชัดเจนของข้อมูลสูง และส่งได้ในระยะไกลด้วย สามารถเชื่อมต่อเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ได้ง่ายด้วย ทั้งนี้เนื่องจากสัญญาณจากคอมพิวเตอร์อยู่ใน รูปของดิจิตอลนั่นเองแต่เดิมนั้นถ้าหากระยะทางใน การสื่อสารไกลมักจะใช้สัญญาณแบบอนาลอกเสียส่วนใหญ่ เช่น โทรศัพท์, โทรเลข เป็นต้น รหัสที่ใช้ส่งสัญญาณข้อมูล(Transmission Code)การส่งสัญญาณการสื่อสารถูกแบ่งออกเป็น 2 ระบบ คือ แบบดิจิตอลและแบบอนาลอก ซึ่งการส่งสัญญาณแบบอนาลอกส่วนใหญ่จะเป็นการติดต่อสื่อสารกันระหว่างมนุษย์ ได้แก่ การได้ยิน การมองเห็น อุปกรณ์ที่ใช้ เช่น โทรศัพท์ วิทยุ โทรทัศน์ สำหรับการส่งสัญญาณแบบดิจิตอลนั้น ส่วนใหญ่จะสื่อสารกันโดยใช้เครื่องจักรหรืออุปกรณ์ในการถ่ายทอดข้อมูลซึ่งกันและกันข้อมูลหรือข่าวสารโดยทั่วไปแล้วในเบื้องต้นส่วน ใหญ่จะอยู่ในรูปแบบที่มนุษย์เข้าใจได้ในทันที เช่น ตัวอักษร ตัวเลข เสียง และภาพต่าง ๆ ซึ่งข่าวสารเหล่านี้จะอยู่ในรูปแบบอนาลอก แต่เมื่อต้องการนำข้อมูลหรือข่าวสารเหล่านี้มาใช้กับคอมพิวเตอร์ จะต้องเปลี่ยนข้อมูล หรือข่าวสารเหล่านี้ให้อยู่ในรูปแบบที่คอมพิวเตอร์เข้าใจได้เสียก่อน ซึ่งคอมพิวเตอร์จะรับรู้ข่าวสารที่เป็นแบบดิจิตอลเท่านั้น นั่นคือการเข้าสู่กระบวนการเปลี่ยนข่าวสารแบบอนาลอกให้เป็นข่าวสารแบบดิจิตอลนั่นเอง จากข้อความหรือข่าวสารต่าง ๆ ที่เรามองเห็นและเข้าใจได้ เมื่อเราป้อนเข้าสู่คอมพิวเตอร์โดยพิมพ์เข้าทางแป้นพิมพ์ ตัวอักษรที่พิมพ์เข้าไปจะต้องมีการเข้ารหัสโดยผ่านตัวเข้ารหัส (Encoder) ให้อยู่ในรูปของสัญญาณที่สามารถส่งสัญญาณต่อไปได้เมื่อสัญญาณถูกส่งไปยังเครื่องรับ จากนั้นเครื่องรับก็จะตีความสัญญาณที่ส่งมาและผ่านตัวถอดรหัส (Decodes) ให้กลับมาอยู่ในรูปแบบที่เราเข้าใจได้หรืออยู่ในรูปแบบที่ใช้สำหรับเก็บในคอมพิวเตอร์ก็ได้อีกครั้งหนึ่ง
รูปแบบของรหัส รหัสที่ใช้ในการสื่อสารข้อมูลโดยทั่วไปจะอยู่ในรูปของไบนารี (Binary) หรือเลขฐานสอง ซึ่งประกอบด้วยเลข 0 กับเลข 1 โดยใช้รหัสที่เป็นเลข 0 แทนการไม่มีสัญญาณไฟและเลข 1 แทนการมีสัญญาณไฟ ซึ่งเป็นไปตามหลักการของไฟฟ้าที่มีลักษณะมีไฟและไม่มีไฟอยู่ตลอดเวลา เรียกรหัสที่ประกอบด้วย 0 กับ 1 ว่าบิต (Binary Digit) แต่เนื่องจากข้อมูลหรือข่าวสารทั่วไปประกอบด้วยตัวอักษร ตัวเลขและสัญลักษณ์มากมาย ถ้าจะใช้ 0 กับ 1 เป็นรหัสแทนแล้วก็คงจะได้เพียง 2 ตัวเท่านั้น เช่น 0 แทนตัว A และ 1 แทนด้วย Bดังนั้นการกำหนดรหัสจึงได้นำกลุ่มบิทมาใช้ เช่น 6 บิท, 7 บิท หรือ 8 บิทแทนตัวอักษร 1 ตัว ซึ่งจะสามารถสร้างรหัสที่แตกต่างกันได้ทั้งหมด รหัสมาตรฐานโดยทั่วไปจะใช้กับอักขระภาษาอังกฤษซึ่งมีหลายมาตรฐาน เช่น รหัสโบดอต (Baudot code), รหัสเอบซีดิก (EBCDIC) และรหัสแอสกี (ASCll Code) รหัสแอสกี (ASCll CODE)รหัสแอสกี (ASCll CODE) มาจากคำเต็มว่า American Standard Code for Information Interchange ซึ่งเป็นรหัสมาตรฐานของอเมริกาที่ใช้สำหรับส่งข่าวสารมีขนาด 8 บิท โดยใช้ 7 บิทแรกเข้ารหัสแทนตัวอักษร ส่วนบิทที่ 8 จะเป็นบิทตรวจสอบ (Parity Bit Check) รหัสแอสกีได้รับมาตรฐานของ CCITT หมายเลข 5 เป็นรหัสที่ได้รับความนิยมในการสื่อสารข้อมูลอย่างกว้างขวาง เนื่องจากรหัสแอสกีใช้ 7 บิทแรกแทนตัวอักขระ แต่ละบิทจะประกอบด้วยตัวเลข 0 หรือเลข 1 ดังนั้นรหัสแอสกีจะมีรหัสที่แตกต่างกันได้เท่ากับ 27 หรือเท่ากับ 128 ตัวอักขระนั่นเองในจำนวนนี้จะแบ่งเป็นตัวอักษรที่พิมพ์ได้ 96 อักขระ และเป็นตัวควบคุม (Control Characters) อีก 32 อักขระ ซึ่งใช้สำหรับควบคุมอุปกรณ์และการ ทำงานต่าง ๆ รหัสโบคอต (Baudot Code)รหัสโบคอตเป็นรหัสที่ใช้กับระบบโทรเลข และเทเล็กซ์ ซึ่งอยู่ภายใต้มาตรฐานของ CCITT หมายเลข 2 เป็นรหัสขนาด 5 บิท สามารถมีรหัสที่แตกต่างกันได้เท่ากับ 25 หรือเท่ากับ 32 รูปแบบ ซึ่งไม่เพียงพอกับจำนวนอักขระทั้งหมด จึงมีการเพิ่มอักขระพิเศษขึ้นอีก 2 ตัว คือ 11111 หรือ LS (Letter Shift Character) เพื่อเปลี่ยนกลุ่มตัวอักษรเป็นตัวพิมพ์เล็ก (Lower case) และ 11011 หรือ FS(Figured Shift Character) สำหรับเปลี่ยนกลุ่มตัวอักษรเป็นตัวพิมพ์ใหญ่ทำให้มีรหัสเพิ่มขึ้นอีก 32 ตัว แต่มีอักขระซ้ำกับอักขระเดิม 6 ตัว จึงสามารถใช้รหัสได้จริง 58 ตัว อีก 32 ตัว แต่มีอักขระซ้ำกับอักขระเดิม 6 เดิม จึงสามารถใช้รหัสได้จริง 58 ตัว เนื่องจากรหัสโบคอตมีขนาด 5 บิท ซึ่งไม่มีบิทตรวจสอบจึงไม่นิยมนำมาใช้กับคอมพิวเตอร์
รหัสเอบซีดิก (EBCDIC)รหัส EBVFIC มาจากคำเต็มว่า Extended Binary Coded Deximal Interchange Code พัฒนาขึ้นโดยบริษัท IBM มีขนาด 8 บิตต่อหนึ่งอักขระ โดยใช้บิตที่ 9 เป็น บิทตรวจสอบ ดังนั้นจึงสามารถมีรหัสที่แตกต่างสำหรับใช้แทนตัวอักษรได้ 28 หรือ 256 ตัวอักษร ปัจจุบันรหัสเอบซีดิกเป็นมาตรฐานในการเข้าตัวอักขระบนเครื่องคอมพิวเตอร์
รหัสแบบของการเชื่อมต่อเพื่อการสื่อสารข้อมูล การเชื่อมต่ออุปกรณ์สื่อสารเพื่อสื่อสารข้อมูลจากจุดหนึ่งไปยังอักจุดหนึ่งนั้น สามารถทำได้หลายรูปแบบขึ้นอยู่กับความเหมาะสม สำหรับรูปแบบของการเชื่อมต่อแบ่งออกเป็นหลายรูปแบบดังต่อไปนี้ 1. การเชื่อมต่อแบบจุดต่อจุด (Point to Point Line)เป็นการเชื่อมต่อแบบพื้นฐาน โดยต่อจากอุปกรณ์รับหรือส่ง 2 ชุด ใช้สายสื่อสารเพียงสายเดียวมีความยาวของสายไม่จำกัด เชื่อมต่อสายสื่อสารไว้ตลอดเวลา (Lease Line) ซึ่งสายส่งอาจจะเป็นชนิดสายส่งทางเดียว (Simplex) สายส่งกึ่งทางคู่(Half-duplex) หรือสายส่งทางคู่แบบสมบูรณ์ (Full-duplex) ก็ได้ และสามารถส่งสัญญาณข้อมูลได้ทั้งแบบซิงโครนัสหรือแบบวิงโครนัส การเชื่อมต่อแบบจุดต่อจุดมีได้หลายลักษณะดังรูปข้างต้น
2. การเชื่อมต่อแบบหลายจุด(Multipoint or Multidrop)เนื่องจากค่าเช่าช่องทางในการส่งผ่านข้อมูลต้องเสียค่าใช้จ่ายสูง การเชื่อมต่อแบบจุดต่อจุดนั้นสิ้นเปลืองสายสื่อสารมากการส่งข้อมูลไม่ได้ใช้งานตลอดเวลา จึงมีแนวความคิดที่จะใช้สายสื่อสารเพียงสายเดียวแต่เชื่อมต่อกับหลายๆ จุด ซึ่งทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากกว่า ลักษณะการเชื่อมต่อแบบหลายจุดแสดงให้เห็นได้
การเชื่อมต่อแบบหลายจุดแต่จุดจะมีบัพเฟอร์ (Buffer) ซึ่งเป็นที่พักเก็บข้อมูลชั่วคราวก่อนทำการส่ง โดยบัพเฟอร์จะรับข้อมูลมาเก็บเรื่อย ๆ จนเต็มบัพเฟอร์ ข้อมูลจะถูกส่งทันทีหรือเมื่อมีคำสั่งให้ส่ง เพื่อใช้สายสื่อสารให้เต็มประสิทธิภาพในการส่งแต่ละครั้ง และช่วงใดที่ว่างก็สามารถให้ผู้อื่นส่งได้ การเชื่อมต่อแบบนี้จะเหมาะกับการสื่อสารที่มีขนาดไม่ใหญ่มากนัก และเป็นข้อมูลที่ไม่ต่อเนื่อง แต่อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าการสื่อสารข้อมูลโดยวิธีการเชื่อมต่อแบบหลายจุดจะประหยัดค่าใช้จ่าย และใช้ระบบสื่อสารได้ค่อนข้างเต็มประสิทธิภาพ แต่ก็มีข้อจำกัดหลายประการดังต่อไปนี้
ประสิทธิภาพของเครื่องและซอฟต์แวร์ที่ใช้สื่อสารข้อมูล
ปริมาณการส่งผ่านข้อมูลที่เกิดขึ้นจากสถานีส่งและรับข้อมูล
ความเร็วของช่องทางการส่งผ่านข้อมูลที่ใช้
ข้อจำกัดที่ออกโดยองค์การที่ควบคุมการสื่อสารของแต่ละประเทศ
3. การเชื่อมต่อเครือข่ายแบบสลับช่องทางการสื่อสาร (Switched Network)
จากรูปแบบการเชื่อมต่อที่เป็นแบบจุดซึ่งต้องต่อสายสื่อสารไว้ตลอดเวลา แต่ในทางปฏิบัติจริงแล้วการสื่อสารข้อมูลไม่ได้ผ่านตลอดเวลา ดังนั้นจึงมีแนวความคิด ในการเชื่อมต่อเครือข่ายแบบสลับช่องทางการสื่อสารหรือเครือข่ายสวิตซ์ซิ่ง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการเชื่อมต่อเครือข่ายแบบจุดต่อจุดให้สามารถใช้สื่อสารได้มากที่สุด ลักษณะเครือข่ายแบบสลับช่องทางการสื่อสารสามารถแสดงได้ดังรูป
เครือข่ายแบบสลับช่องทางการสื่อสารที่เห็นโดยทั่วไปมี 4 รูปแบบดังนี้
เครือข่ายสื่อสารโทรศัพท์ (The Telephone NetworK)
เครือข่ายสื่อสารเทลเล็กช์ (The Telex/TWX Network)
เครือข่ายสื่อสารแพคเกตสวิตซ์ซิ่ง(package Switching Network)
เครือข่ายสื่อสารสเปเซียลไลซ์ ดิจิตอล(Specialized Digital Network)
หลักการทำงานของเครือข่ายแบบสลับช่องทางการสื่อสารดังนี้
การเชื่อมต่อด้องเป็นแบบจุดต่อจุด
ต้องมีการเชื่อมต่อการสื่อสารกันทั้งฝ่ายรับและส่งก่อนจะเริ่มรับหรือส่งข้อมูล เช่น หมุนเบอร์โทรศัพท์ เป็นต้น
หลังจากสื่อสารกันเสร็จเรียบร้อยจะต้องตัดการเชื่อมต่อ เพื่อให้ผู้อื่นใช้สายสื่อสารได้ต่อไป สื่อกลางที่ใช้ในการสื่อสารข้อมูล
องค์ประกอบที่สำคัญที่ใช้ในการสื่อสารข้อมูลอันหนึ่งที่ขาดไม่ได้ คือสายสื่อกลาง ซึ่งแบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ คือ สื่อกลางที่กำหนดเส้นทางได้ เช่น สายโคแอกเซียล (Coaxial) สายเกลียวคู่ (Twisted-pair) สายไฟเบอร์ออฟติก (Fiber Optic) และสื่อกลางที่กำหนดเส้นทางไม่ได้ เช่น คลื่นวิทยุ คลื่นดาวเทียม คลื่นไมโครเวฟ เป็นต้นการเลือกสื่อกลางที่จะนำมาใช้ในการเชื่อมต่อระบบสื่อสารข้อมูลนั้น จำเป็นต้องพิจารณากันหลายประการ เช่น ความเร็วในการส่งข้อมูล ราคาของอุปกรณ์ที่ใช้ สถานที่ใช้ การบริการ การควบคุม ตลอดจนเทคโนโลยีที่จะนำมาใช้ ซึ่งลื่อกลางแต่ละชนิดจะมีคุณสมบัติแตกต่างกันไป สายโคแอกเซียล (Coaxial Cable)สายโคแอกเซียลเป็นสายที่นิยมใช้กันค่อนข้างมากในระบบการสื่อสารความถี่สูง เช่น สายอากาศของทีวี สายชนิดนี้ถูกออกแบบมาให้มีค่าความต้านทาน 75 โอห์มและ 50 โอห์ม โดยสาย 75 โอห์ม ส่วนใหญ่ใช้กับสายอากาศทีวีและสาย 50 โอห์ม จะนำมาใช้กับการสื่อสารที่เป็นระบบดิจิตอลคุณสมบัติของสายโคแอกเซียลประกอบด้วยตัวนำสองสาย โดยมีสายหนึ่งเป็นแกนอยู่ตรงกลางและอีกเส้นเป็นตัวนำล้อมรอบอยู่อีกชั้น มีขนาดของสาย 0.4 ถึง 1 นิ้ว สายโคแอกเซียลมี 2 แบบ คือ แบบหนา (Thick) และแบบบาง (Thin) แบบหนาจะแข็ง การเดินสายทำได้ค่อนข้างยาก แต่สามารถส่งสัญญาณได้ไกลกว่าแบบบางสามารถ เปรียบเทียบข้อดีข้อเสียของสายสื่อสารกลางแบบโคแอกเชียลได้ดังต่อไปนี้
สายคู่บิดเกลียว (Twisted-Pair)สายคู่เกลียวเป็นสายมาตรฐานสองเส้นหุ้มด้วยฉนวนแล้วบิดเป็นเกลียว สามารถรับส่งข้อมูลได้ทั้งแบบ อนาลอกและแบบดิจิตอล สายชนิดนี้จะมีขนาด 0.015-0.056 นิ้ว ส่งข้อมูลได้ด้วยความเร็ว 10 เมกะบิทต่อวินาที ถ้าใช้ส่งสัญญาณแบบอนาลอกจะต้องใช้วงจรขยายหรือแอมพลิฟายเออร์ ทุก ๆ ระยะ 5-6 กม. แต่ถ้าต้องการส่งสัญญาณแบบดิจิตอลจะต้องใช้อุปกรณ์ทำซ้ำสัญญาณ (Repeater) ทุก ๆ ระยะ 2-3 กม. โดยทั่วไปแล้วสำหรับการส่งข้อมูลแบบดิจิตอล สัญญาณที่ส่งเป็นลักษณะคลื่นสี่เหลี่ยม สายคู่บิดเกลียวสามารถใช้ส่งข้อมูลได้หลายเมกะบิตต่อวินาทีในระยะทางได้ไกลหลายกิโลเมตร เนื่องจากสายคู่เกลียว มีราคาไม่แพงมาก ใช้ส่งข้อมูลได้ดี และมีน้ำหนักเบา นอกจากนั้นยังง่ายต่อการติดตั้ง จึงถูกใช้งานอย่างกว้างขวางตัวอย่างของสายคู่บิดเกลียว คือ สายโทรศัพท์ สำหรับสายคู่บิดเกลียวนั้นจะมีอยู่ 2 ชนิดคือ
สายคู่บิดเกลียวชนิดหุ้มฉนวน (Shielded Twisted Pair : STP) เป็นสายคู่บิดเกลียวที่หุ้มด้วยฉนวนชั้นนอกที่หนาอีกชั้นหนึ่ง เพื่อป้องกันการรบกวนของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
สายคู่บิดเกลียวชนิดไม่หุ้มฉนวน (Unshielded Twisted Pair : UTP) เป็นสายคู่บิดเกลียวที่หุ้มด้วยฉนวนชั้นนอกที่บางทำให้สะดวกในการโค้งงอ แต่จะป้องกันการรบกวนของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าได้น้อยกว่าชนิดแรก
สายส่งข้อมูลแบบไฟเบอร์ออฟติกจะประกอบด้วยเส้นใยทำจากแก้ว 2 ชนิด ชนิดหนึ่งอยู่ตรงแกนกลาง อีกชนิดหนึ่งอยู่ด้านนอก โดยที่ใยแก้วทั้ง 2 นี้จะมีดัชนีในการสะท้อนแสงต่างกัน ทำให้แสงที่ส่งจากปลายด้านหนึ่งผ่านไปยังอีกด้านหนึ่งได้
สายส่งแบบไฟเบอร์ออฟติก (Fiber Optic)เป็นการส่งสัญญาณด้วยใยแก้ว และส่งสัญญาณด้วยแสงมีความเร็วในการส่งข้อมูลสูงสามารถส่งข้อมูล ได้ด้วยเร็วเท่ากับแสง ไม่มีสัญญาณรบกวนจากภายนอก สายส่งข้อมูลแบบไฟเบอร์ออฟติกจะประกอบด้วยเส้นใยแก้ว 2 ชนิด ชนิดหนึ่งอยู่ตรงแกนกลาง อีกชนิดหนึ่งอยู่ด้านนอก โดยที่ใยแก้วทั้ง 2 นี้จะมีดัชนีในการสะท้อนแสงต่างกัน ทำให้แสงที่ส่งจากปลายด้านหนึ่งผ่านไปยังอีกด้านหนึ่งได้ อุปกรณ์ที่ใช้ในการสื่อสารข้อมูลคอมพิวเตอร์
โมเด็ม (MODEM)MODEM มาจากคำเต็มว่า Modulator – DEModulator ทำหน้าที่แปลงสัญญาณข้อมูลดิจิตอล ที่ได้รับจากเครื่องส่งหรือคอมพิวเตอร์ เป็นสัญญาณแบบอนาลอกก่อนทำการส่งไปยังปลายทางต่อไป โดยผ่านเครือข่ายโทรศัพท์ และเมื่อส่งถึงปลายทางก็จะมีโมเด็มทำหน้าที่แปลงสัญญาณจากอนาลอกให้เป็นดิจิตอล เพื่อใช้กับคอมพิวเตอร์ปลายทาง มัลติเพล็กซ์เซอร์ (Multiplexer)วิธีการเชื่อมต่อการสื่อสารระหว่างผู้รับและผู้ส่งปลายทางที่ง่ายที่สุดคือ การเชื่อมต่อแบบจุดต่อจุด (Point to Point) แต่ต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงและใช้งานไม่เต็มที่ จึงมีวิธีการเชื่อมต่อที่ยุ่งยากขึ้น คือการเชื่อมต่อแบบหลายจุดซึ่งใช้สายสื่อสารเพียงเส้น 802.3
คอนเซนเตรเตอร์ (Concentrator)คอนเซนเตรเตอร์เป็นมัลติเพล็กซ์เซอร์ที่มีประสิทธิภาพสูง สามารถเพิ่มสายหรือช่องทางการส่งข้อมูลได้มากขึ้น การส่งข้อมูลจะเป็นแบบอซิงโครนัส
คอนโทรลเลอร์(Controller)คอนโทรลเลอร์เป็นมัลติเพล็กซ์เซอร์ที่ส่งข้อมูลแบบอซิงโครนัส ที่สามารถส่งข้อมูลด้วยความเร็วสูงได้ดี การทำงานจะต้องมีโปรโตคอลพิเศษสำหรับกำหนด วิธีการรับส่งข้อมูล มีบอร์ดวงจรไฟฟ้าและซอฟต์แวร์สำหรับคอมพิวเตอร์
ฮับ (HUB)ฮับเป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทำหน้าที่เช่นเดียวกับมัลติเพล็กซ์เซอร์ ซึ่งนิยมใช้กับระบบเครือข่ายท้องถิ่น (LAN) มีราคาต่ำ ติดต่อสื่อสารข้อมูลตามมาตรฐาน IEEE 802.3
ฟรอนต์ – เอ็นโปรเซสเซอร์ FEP (Front-End Processor)FEP เป็นคอมพิวเตอร์ที่ใช้เชื่อมต่อระหว่างโฮสต์คอมพิวเตอร์ หรือมินิคอมพิวเตอร์กับอุปกรณ์เครือข่ายสำหรับสื่อสารข้อมูล เช่น โมเด็ม มัลติเล็กซ์เซอร์ เป็นต้น FEP เป็นอุปกรณ์ทีมีหน่วยความจำ (RAM) และซอฟต์แวร์สำหรับควบคุมการทำงานเป็นของตัวเองโดยมีหน้าที่หลักคือ ทำหน้าที่แก้ไขข่าวสาร เก็บข่าวสาร เปลี่ยนรหัสรวบรวมหรือกระจายอักขระ ควบคุมอัตราความเร็วในการรับส่งข้อมูล จัดคิวเข้าออกของข้อมูล ตรวจสอบข้อผิดพลาดในการส่งข้อมูล
อิมูเลเตอร์ (Emulator)อิมูเลเตอร์เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่เปลี่ยนกลุ่มข่าวสารจาก โปรโตคอลแบบหนึ่งไปเป็นกลุ่มข่าวสาร ซึ่งใช้โปรโตคอลอีกแบบหนึ่ง แต่จะเป็นอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์หรือเป็นโปรแกรมซอฟต์แวร์ก็ได้ บางครั้งอาจจะเป็นทั้ง 2 อย่าง โดยทำให้คอมพิวเตอร์ที่ต่อเข้ามานั้นดูเหมือนเป็นเครื่องเทอร์มินัลหนึ่งเครื่อง โฮสต์หรือมินิคอมพิวเตอร์ในปัจจุบันนิยมนำเครื่อง PC มาใช้เป็นเทอร์มินัลของเครื่องเมนเฟรมคอมพิวเตอร์ ทั้งนี้เพราะประหยัดกว่าและเมื่อไรที่ไม่ใช้ติดต่อกับมินิ หรือเมนแฟรมก็สามารถใช้เป็น PC ทั่วไปได้
เกตเวย์ (Gateway)เกตเวย์เป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่มีหน้าที่หลักคือ ทำให้เครือข่ายคอมพิวเตอร์ 2 เครือข่ายหรือมากกว่าซึ่งมีลักษณะแตกต่างกัน สามารถสื่อสารกันได้เสมือนกับเป็นเครือข่ายเดียวกัน โดยทั่วไปแล้วระบบเครือข่ายแต่ละเครือข่ายอาจจะแตกต่างกันในหลายกรณี เช่น ลักษณะการเชื่อมต่อ (Connectivity) ที่ไม่เหมือนกัน โปรโตคอลที่ใช้สำหรับรับส่งข้อมูลต่างกัน เป็นต้น
บริดจ์ (Bridge)เป็นอุปกรณ์ IWU (Inter Working Unit) ที่ใช้สำหรับเชื่อมเครือข่ายท้องถิ่น (Local Area Network หรือ LAN) 2 เครือข่ายเข้าด้วยกัน ซึ่งอาจจะใช้โปรโตคอลที่เหมือนกันหรือต่างกันก็ได้
เราเตอร์ (Router)เป็นอุปกรณ์ที่ใช้เชื่อมต่อเครือข่ายเข้าด้วยกัน ซึ่งอาจจะเป็นเครือข่ายเดียวกันหรือข้ามเครือข่ายกัน โดยการเชื่อมกันระหว่างหลายเครือข่ายแบบนี้เรียกว่า เครือข่ายอินเตอร์เน็ต (Internet) โดยเครือข่ายแต่ละเครือข่ายจะเรียกว่า เครือข่ายย่อย (Subnetwork) ส่วนอุปกรณ์ที่ใช้เชื่ออมต่อระหว่างเครือข่าย เรียกว่า IWU (Inter Working Unit) ได้แก่ เราเตอร์และบริดจ์
รีพีตเตอร์ (Repeater)เป็นอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับส่งสัญญาณซ้ำ เพื่อส่งสัญญาณต่อไปนี้ในระยะไกลป้องกันการขาดหายของสัญญาณ ซึ่งรูปแบบของเครือข่ายแต่ละแบบรวมทั้งสายสัญญาณที่ใช้เป็นตัวกลางหรือสื่อกลาง แต่ละชนิดจะมีข้อจำกัดของระยะทางในการส่ง ดังนั้นเมื่อต้องการส่งสัญญาณให้ไกลกว่าปกติต้องเชื่อมต่อกับรีพีตเตอร์ดังกล่าว เพื่อทำให้สามารถส่งสัญญาณ ได้ไกลยิ่งขึ้น
เครือข่าย (Networks)เครือข่าย หมายถึง กลุ่มของคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่ถูกนำมาเชื่อมต่อกันดังนั้นเครือข่ายคอมพิวเตอร์จึงประกอบด้วยสื่อการติดต่อสื่อสาร อุปกรณ์ และซอฟต์แวร์ที่จำเป็นในการเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ 2 ระบบเข้าด้วยกัน รวมทั้งอุปกรณ์อื่น ๆ ความจำเป็นในการใช้เครือข่ายคอมพิวเตอร์ เครือข่ายคอมพิวเตอร์มีความจำเป็นในการทำงานในยุคปัจจุบัน ด้วยเหตุผลดังนี้ 1) เครือข่ายคอมพิวเตอร์ทำให้การทำงานมีความคล่องตัว ยืดหยุ่น และปรับตัวให้เข้ากับเงื่อนไขต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว 2) เครือข่ายช่วยให้หน่วยงานประหยัดงบประมาณโดยช่วยสนับสนุนการใช้ทรัพยากรคอมพิวเตอร์ร่วมกัน เช่น ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และฐานข้อมูล 3) เครือข่ายทำให้พนักงานหรือทีมงานของหน่วยงานที่อยู่ห่างไกลกันสามารถใช้เอกสารร่วมกัน และแลกเปลี่ยนแนวคิด ความเห็น ตลอดจนเสริมให้การทำงานเป็นทีมมีประสิทธิภาพดีขึ้น และกระตุ้นให้เกิดความคิดใหม่ ๆ 4) เครือข่ายช่วยสร้างให้การติดต่อสื่อสารระหว่างหน่วยงานกับลูกค้าหรือองค์การภายนอกมีความใกล้ชิดกันมากยิ่งขึ้น ประเภทของเครือข่าย1) จำแนกตามพื้นที่• เครือข่ายเฉพาะที่ (Local Area Network-LAN)เป็นการติดต่ออุปกรณ์สื่อสารตั้งแต่ 2 ชิ้นขึ้นไประยะ 2,000 ฟุต (โดยปกติจะอยู่ในอาคารเดียวกัน) LAN จะช่วยให้ผู้ใช้จำนวนมากสามารถใช้ทรัพยากรของหน่วยงานร่วมกัน เช่น พรินต์เตอร์ โปรแกรม และไฟล์ข้อมูล ในกรณีที่ LAN ต้องการเชื่อมต่อกับเครือข่ายสาธารณะภายนอก เช่น เครือข่ายโทรศัพท์หรือเครือข่ายของหน่วยงานอื่น จะต้องมี gateway ซึ่งทำหน้าที่เหมือนประตูติดต่อระหว่างเครือข่ายที่แตกต่างกัน โดยช่วยแปลโปรโตคอลของเครือข่ายให้กับอีกโปรโตคอลหนึ่งเพื่อจะทำงานร่วมกันได้
• เครือข่ายเมือง (Metropolitan Area Network-MAN)เครือข่ายเป็นกลุ่มของเครือข่าย LAN ที่นำมาเชื่อมต่อกันเป็นวงขนาดใหญ่ขึ้นภายในพื้นที่บริเวณใกล้เคียง เช่น ในเมืองเดียวกัน • เครือข่ายบริเวณกว้าง (Wide Area Network-WAN)เป็นเครือข่ายที่ครอบคลุมพื้นที่ในบริเวณกว้างโดยครอบคลุมทั้งประเทศหรือทั้งทวีป WAN จะอาศัยสื่อโทรคมนาคมหลายประเภท เช่น เคเบิ้ล ดาวเทียม และไมโครเวฟ 2) แบ่งตามความเป็นเจ้าของ • เครือข่ายสาธารณะ (Public Network)เป็นเครือข่ายที่เปิดโอกาสให้ผู้ใช้โดยทั่วไปได้ใช้ประโยชน์ ดังนั้นผู้ใช้จะต้องแข่งกับผู้ใช้รายอื่น โดยเฉพาะช่วงเวลาที่มีผู้ใช้จำนานมาก เช่น ระบบโทรศัพท์สาธารณะ ซึ่งผู้ใช้ไม่มีหลักประกันว่าสายจะว่างในช่วงนี้ต้องการหรือไม่
• เครือข่ายเอกชน (Private Network)เป็นเครือข่ายที่หน่วยงานสามารถเป็นเจ้าของเอง หรือ เช่าเพื่อประโยชน์ในการสื่อสาร กรณีนี้ก็จะเป็นหลักประกันว่าหน่วยงานจะมีโอกาสได้ใช้เครือข่ายเมื่อต้องการเสมอ
• เครือข่ายแบบมูลค่าเพิ่ม (Value-added Network-VAN)เป็นเครือข่ายกึ่งสาธารณะซึ่งให้บริการเพิ่มขึ้นจากการติดต่อสื่อสารปกติผู้ให้บริการสื่อสาร (Communication service provider) เป็นเจ้าของ VAN อย่างไรก็ตาม VAN เร็วกว่าเครือข่ายสาธารณะและมีความปลอดภัยมากกว่า เครือข่ายสาธารณะ
• เครือข่ายเอกชนเสมือนจริง (Virtual Private Network-VPN)เป็นเครือข่ายสาธารณะที่รับประกันว่าผู้ใช้จะมีโอกาสใช้งานเครือข่ายได้ตลอดเวลา แต่ไม่ได้ให้สายหรือช่องทางการสื่อสารแก่หน่วยงานผู้ใช้โดยเฉพาะ แต่จะใช้วิธีแปลงรหัสข้อมูลของหน่วยงานผู้ใช้โดยเฉพาะ แต่จะใช้วิธีแปลงรหัสข้อมูลของหน่วยงานเพื่อที่จะส่งไปพร้อม ๆ กับหน่วยงานอื่น ๆ Network Topologyคือการออกแบบและการติดต่อเชื่อมโยงกันของเครือข่ายทางกายภาพ โดยทั่วไปโทโปโลจีพื้นฐานมีอยู่ 3 ประเภท ดังนี้ 1) แบบดาว (Star Network)เป็นเครือข่ายที่คอมพิวเตอร์ทุกตัวและอุปกรณ์อื่นเชื่อมกับโฮสต์คอมพิวเตอร์ที่อยู่ และการสื่อสารทั้งหมดระหว่างอุปกรณ์ต่างๆ ภายในเครือข่ายต้องผ่านโฮสต์คอมพิวเตอร์ เนื่องจากโฮสต์คอมพิวเตอร์เป็นตัวควบคุมอุปกรณ์อื่นทั้งหมดในเครือข่าย เครือข่ายแบบดาวเหมาะสำหรับการประมวลผลที่มีลักษณะรวมศูนย์ อย่างไรก็ตามข้อจำกัดของแบบนี้ คือ หากใช้โฮสต์คอมพิวเตอร์ก็จะทำให้ระบบทั้งหมดทำงานไม่ได้ 2) แบบบัส (Bus Network)เป็นการเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์โดยใช้สายวงจรเดียว ซึ่งอาจจะเป็นสายเกลียวคู่สายโคแอกเชียล หรือ สายใยแก้วก็ได้ สัญญาณสามารถสื่อสารได้ 2 ทางในเครือข่ายโดยมีซอฟต์แวร์คอยช่วยแยกว่าอุปกรณ์ใดจะเป็นตัวรับข้อมูล หากมีคอมพิวเตอร์ตัวใดในระบบล้มเหลวจะไม่มีผล ต่อคอมพิวเตอร์อื่น อย่างไรก็ตามช่องทางในระบบเครือข่ายแบบนี้สามารถจัดการรับข้อมูลได้ครั้งละ 1 ชุดเท่านั้น ดังนั้นจึงเกิดปัญหาการจราจรของข้อมูลได้ในกรณีที่มีผู้ต้องการใช้งานพร้อมกัน โทโปโลจีแบบนี้นิยมใช้ในวงแลน 3) แบบวงแหวน (Ring Network)คอมพิวเตอร์ทุกตัวเชื่อมโยงเป็นวงจรปิด ทำให้การส่งข้อมูลจากคอมพิวเตอร์ตัวหนึ่งไปยังอีก ตัวหนึ่งโดยเดินทางไปในทิศทางเดียว คอมพิวเตอร์แต่ละตัวทำงานโดยอิสระ หากมีตัวใด ตัวหนึ่งเสียระบบการสื่อสารในเครือข่ายได้รับการกระทบกระเทือน ยกเว้นจะมีวงแหวนคู่ในการรับส่ง ข้อมูลในทิศทางต่างๆ กัน เพื่อเป็นเส้นทางสำรองในการป้องกันไม่ให้เครือข่ายหยุดทำงานโดยสิ้นเชิง นอกจากโทโปโลจีทั้ง 3 แบบที่กล่าวข้างต้น อาจจะพบโทโปโลจีแบบอื่นๆ เช่น แบบโครงสร้างลำดับชั้น (Hierarchical Network) ซึ่งมีลักษณะโครงสร้างคล้ายต้นไม้ (Tree) หรือมีแบบผสม (Hybrid) อย่างไรก็ตามโทโปโลจีแต่ละประเภทจะมีข้อดีและ ข้อจำกัดแตกต่างกันผู้พัฒนาระบบจะต้องพิจารณาถึงความเร็ว ความเชื่อถือได้ และความสามารถของเครือข่ายในการทำงาน หรือการแก้ไขข้อบกพร่องในกรณีที่อุปกรณ์ใดอุปกรณ์หนึ่ง ในระบบมีปัญหาตลอดจนลักษณะทางกายภาพ เช่น ระยะห่างของ node และต้นทุนของทั้งระบบ รูปแบบการประมวลผลแบบกระจายเครือข่าย (Organizational Distributed Processing)วิธีการประมวลผลของเครือข่ายคอมพิวเตอร์มี 3 รูปแบบ คือ 1.Terminal-to-Host Processing2. File Server Processing3. Client/Server

วิธีคิดเลขเร็ว




วิธีคิดเลขเร็วการคูณเลข 2 หลักที่จำนวนหน้าเท่ากัน จำนวนหลังบวกกันได้ 101. ให้เอา เลข ตัวท้ายคูณกัน ตั้งเป็นผลลัพธ์หลักหน่วย และ หลักสิบไว้ก่อน2. ให้เอาตัวหน้าคูณกับจำนวนที่มากกว่ามันอยู่ หนึ่ง คูณได้เท่าไร เขียนเป็นผลลัพธ์ต่อเป็นหลักร้อย, หลักพัน, หลักหมื่น ฯลฯ เป็นผลลัพธ์ ที่ถูกต้อง และ รวดเร็ว การคูณเลข 2 หลักที่จำนวนหลังเท่ากัน จำนวนหน้าบวกกันได้ 101. ให้เอา เลข ตัวท้ายคูณกัน ตั้งเป็นผลลัพธ์หลักหน่วย และ หลักสิบไว้ก่อน2. ให้เอาตัวหน้าคูณกัน แล้วบวกตัวหลัง หนึ่งตัว เขียนเป็นผลลัพธ์ต่อเป็นหลักร้อย, หลักพัน, หลักหมื่น ฯลฯ เป็นผลลัพธ์ ที่ถูกต้อง และ รวดเร็วการคูณเลข 2 หลักที่มีหลักสิบเป็นเลข 1 ทั้งตัวตั้งและตัวคูณ1. ให้เอาเลข ตัวท้ายคูณกัน ตั้งเป็นผลลัพธ์หลักหน่วย ถ้าคูณกันเกิน 9 ให้ทดหลักสิบไว้ก่อน2. หน่วยตัวหลังบวกกัน และ และเพิ่มข้างหน้าอีก 1 บวกจำนวนที่ทดไว้ เขียนเป็นผลลัพธ์ต่อจากที่เขียนไว้เป็นหลักสิบ หลักร้อย ก็จะได้ผลลัพธ์ ที่ถูกต้อง และรวดเร็วการคูณเลข 2 หลักที่มีหลักหน่วยเป็นเลข 1 ทั้งตัวตั้งและตัวคูณ1. เขียน 1 เป็นหลักหน่วยที่ผลลัพธ์ ตั้งไว้ก่อน2. เอาเลข หลักสิบ บวกกับ หลักสิบ ได้เท่าไร เขียนเป็นผลลัพธ์ หลักสิบ ต่อจาก 1 (ถ้าบวกกันได้เลขสองตัว ให้ทดตัวหน้าไว้ก่อน)3. เอาหลักสิบ คูณ หลักสิบ บวกกับตัวทด ได้เท่าไร เขียนผลลัพธ์ ต่อเป็น หลักร้อย หลักพันต่อไป ก็จะได้ผลลัพธ์ ที่ถูกต้อง และรวดเร็ว

..ใครกันที่คุณเรียกว่าเพื่อน..






..ใครกันที่คุณเรียกว่าเพื่อน..ชีวิตเราๆ ต้องเจอะเจอผู้คนมากมายทั้งที่ด้วยความจำใจ จำยอม จำเป็น บังเอิญ และด้วยความพอใจแต่ถึงยังไง เราก็เลือกที่จะเสวนาหรือไม่เสวนากับใครก็ได้ มันเป็นสิทธิส่วนบุคคลถ้าอย่างนั้นลองวาดภาพตาม..................คุณเป็นเด็กนักเรียนใหม่ที่เพิ่งย้ายเข้ามา ณ โรงเรียนแห่งนี้คุณไม่รู้จักใคร คุณไม่รู้จักอะไรเลยแต่ด้วยระบบของโรงเรียน ทำให้คุณเข้าไปเรียนอยู่ในห้องเรียนห้องหนึ่ง มีนักเรียนในห้องอยู่เกือบครึ่งร้อยชีวิต และแล้วอาจารย์ที่ปรึกษาก็แนะนำคุณให้กับนักเรียนในห้องนั้นและบอกว่า............ -ดูแลเพื่อนด้วย-มันอาจไม่ใช่ประโยคที่แปลกอะไร แต่..ใครเป็นเพื่อนของคุณ?และคุณเป็นเพื่อนของใคร?มันจะไม่แปลกใช่ไหม ถ้าคุณอาจจะถูกทอดทิ้งให้ฝึกพูดบทสนทนาภาษาอังกฤษเพียงลำพังในคาบวิชาภาษาอังกฤษ ขณะที่นักเรียนคนอื่นๆในห้องจับกันเป็นคู่ๆ ก็ยังไม่มีใครบอกว่าเป็นเพื่อนคุณสักหน่อย แล้วมันเป็นหน้าที่ของใครล่ะ ที่จะต้องมาดูแลคุณ แต่คุณก็ไม่ละความพยายามหรอก ในเมื่อคุณเป็นนักเรียนใหม่คุณก็เลยเดินเข้าไปหาคู่สนทนาเองเลยคุณแนะนำชื่อคุณ บอกว่าย้ายมาจากโรงเรียนอะไร ทำไมถึงย้ายมาในช่วงนี้เล่าประวัติส่วนตัวคร่าวๆที่คุณคิดว่าคนที่จะเป็นเพื่อนคุณควรจะรู้คนๆนั้นก็บอกชื่อของเขากับคุณ และยิ้มให้ชวนคุยเป็นมารยาท และอาจเดินจากคุณไป ถ้าคุณคิดว่าคุณได้เพื่อนหนึ่งคน *เพื่อน* คำนั้นของคุณแปลว่า *คนรู้จัก*บางทีคำว่า *คนรู้จัก* เนี่ย ก็แปลได้หลายความหมายเหมือนกัน..อาจแปลว่าเขาและคุณรู้จักกัน หรือเขารู้จักคุณ หรือไม่ก็ คุณรู้จักเขาอยู่ฝ่ายเดียว มันเป็นสิ่งที่ธรรมดาหรือแปลกประหลาดก็ไม่อาจบอกได้ ทุกวันนี้แค่เพียงคุณแนะนำตัวเองต่อกันและกันคุณก็สามารถเป็นเพื่อนกันได้ภายในเวลาไม่เกิน 30 วินาที!...โดยทั้งสองฝ่ายต่างก็เออออห่อหมกว่าโอเค เรารู้ชื่อของกันและกัน และเราก็ยิ้มให้กัน ดังนั้นเราเป็นเพื่อนกัน..สมการการถ่ายทอดของคนรุ่นใหม่ คำว่า *เพื่อน* คำนี้คงน่าสมเพชมากกว่าคำว่า *คนรู้จัก* ซะอีก..อย่างดีคุณก็แค่จับคู่ของชื่อกับหน้าเจ้าของได้ถูก..อย่างแย่ คุณก็จำไม่ได้เลยว่าเคยพบเจอคนๆนั้นมาก่อนถ้าเพียงแค่ลองลงท้ายคำแนะนำตัวว่า..+ให้เราเป็นเพื่อนด้วยคนนึงนะ+ คุณคิดว่าไง? ..เคยมีคนพูดประโยคนี้กับคุณไหม? ...ประโยคที่ยกย่องคุณขอให้ตัวเองได้เป็นส่วนนึงในชีวิตของคุณได้ทำอะไรร่วมกับคุณ ได้ร่วมทุกข์ ร่วมสุขกับคุณถ้าไม่มีก็คงไม่แปลก (ตามสมการการถ่ายทอดของคนรุ่นใหม่)แต่ถ้ามี หรือกำลังจะมีล่ะ? คุณคิดว่าประโยคคำพูดสั้นๆ ธรรมดาๆ ที่เด็กอนุบาลพูดกัน จะทำให้คุณรู้สึกยังไง?มันไม่ใช่คำพูดที่ว่า -เป็นเพื่อนเราหน่อยนะ-..คำพูดที่เอาตัวเองเป็นหลักแล้วก็ถูลู่ถูกังเอาคนอื่นมายินยอมด้วยสองประโยคนี้คำตอบอาจไม่ต่างกัน..คงไม่มีคนตอบว่า ไม่ได้หรอกเราไม่อยากเป็นเพื่อนเธอ อะไรประมาณนั้นตามมารยาทแต่ความรู้สึกจากคำพูดมันต่างกันจริงไหมทุกวันนี้คุณอาจบอกว่า คุณได้เพื่อนมามากพอแล้วและเพื่อนคุณก็เป็นเพื่อนสนิท เป็นเพื่อนที่ดี เป็นเพื่อนที่จริงใจสารพัดคุณสมบัติที่ทำให้คุณทำทุกอย่างเพื่อเพื่อน(หลาย)คนนี้ได้..แต่ยังมีคนที่ไม่มีเพื่อนสนิทแบบคุณ คนที่มีคุณสมบัติเพียบพร้อมและพร้อมที่จะเป็นเพื่อนแท้กับคนที่เขาถูกชะตาด้วย เพียงแค่เขายังไม่เจอกับคนที่เขาถูกชะตา ซึ่งคนๆนั้นอาจเป็นคุณ ถ้าเพียงคุณเปิดใจรับเเพื่อนอีก ..อย่างน้อยคุณก็ได้เพื่อนอีกคน และเขาก็ได้เพื่อนอีกคน..และอย่างมากที่สุด คุณก็ได้เพื่อนแท้มาอีกคน จริงๆแล้วหัวข้อบทความนี้น่าจะเป็น *ใครเรียกคุณว่าเพื่อน?*ถ้าดูจากเรื่องที่เล่ามา แต่จุดประสงค์หลักของการเขียนบทความนี้ขึ้นมาก็คือการย้อนมองความหมายที่แท้จริงของคำว่า *เพื่อน*ความหมายของคำว่า *เพื่อน* มีหลายระดับ..ตามความพอใจ ตามอารมณ์ ตามความสนิทตามหน้าที่ ตามความจำเป็น ตามความจริงใจโดยวัดจากใจของคุณเอง ..สารพัดเหตุผล คล้ายๆที่เถียงกันไม่ตกว่า ความรักก็มีหลายแบบ แต่ถ้าสองคำนี้มารวมกันเป็นคำว่า *รักเพื่อน* หรือ*เพื่อนรัก*ผู้เขียนว่ามัน.. ไม่ต้องมีคำบรรยายใดๆสักคำให้ลึกซึ้ง+ดูแลเพื่อนด้วย+คงเป็นอีกประโยคหนึ่ง ที่จะสามารถเรียกความซึ้งใจออกมาได้จริ

บัญญัติ 9 ประการเพื่อสุขภาพดี




บัญญัติ 9 ประการเพื่อสุขภาพดีคุณภาพชีวิตช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตเป็นแนวทางหนึ่งที่จะช่วยส่งเสริมการกินของคนไทยให้ถูกต้องเพื่อการมีภาวะโภชนาการและสุขภาพอนามัยที่ดี ดังต่อไปนี้1. กินอาหารครบ 5 หมู่ แต่ละหมู่ให้หลากหลายและหมั่นดูแลน้ำหนักตัว2. กินข้าวเป็นอาหารหลักสลับกับอาหารประเภทแป้งเป็นบางมื้อ3. กินพืชผักให้มากและกินผลไม่เป็นประจำ4. กินปลา กินเนื้อไม่ติดมัน ไข่และถั่วเมล็ดแห้งเป็นประจำ5. ดื่มนมให้เหมาะสมตามวัย6. กินอาหารที่มีไขมันแต่พอควร7. หลีกเลี่ยงการกินอาหารที่มีรสหวานจัดและเค็มจัด8. กินอาหารที่สะอาดปราศจากการปนเปื้อน9. งดหรือลดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์1. กินอาหารครบ 5 หมู่ แต่ละหมู่ให้หลากหลายและหมั่นดูแลน้ำหนักตัวในอาหารแต่ละชนิดจะประกอบด้วยสารอาหารต่างๆ ในปริมาณที่มากน้อยต่างกัน ไม่มีอาหารชนิดใดชนิดหนึ่งที่จะมีสารอาหารต่างๆ ครบในปริมาณที่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย ดังนั้นจึงจำเป็นต้องกินอาหารหลายๆชนิดหรือให้ครบทั้ง 5 หมู่ และกินแต่ละหมู่ให้หลากหลายเพื่อให้ได้สารอาหารครบตามที่ร่างกายต้องการ"น้ำหนักตัว" เป็นเครื่องบ่งชี้ถึงภาวะสุขภาพของร่างกาย จึงควรชั่งน้ำหนักตัวอย่างน้อยเดือนละครั้งและนำมาประเมินดูว่าน้ำหนักอยู่ในเกณฑ์ปกติหรือไม่โดยใช้ดัชนีมวลกายเป็นเกณฑ์ ดังนี้ดัชนีมวลกาย= น้ำหนักตัว (กิโลกรัม)/ส่วนสูง2 (เมตร)ค่าปกติอยู่ระหว่าง 18.5-14.9 กิโลกรัม/ตารางเมตร2. กินข้าวเป็นอาหารหลักสลับกับอาหารประเภทแป้งเป็นบางมื้อข้าวเป็นอาหารหลักของคนไทยที่ให้พลังงานและสารอาหารต่างๆ โดยเฉพาะข้าวกล้องหรือข้าวซ้อมมือ ควรกินเป็นประจำและอาจจะสลับกับอาหารประเภทก๋วยเตี๋ยว ขนมจีน บะหมี่ เผือก มัน ก็ได้3. กินพืชผักให้มากและกินผลไม้เป็นประจำพืชผักและผลไม้ นอกจากจะให้วิตามิน แร่ธาตุ และใยอาหาร ซึ่งช่วยให้การขับถ่ายดีแล้วยังมีสารแคโรทีนและวิตามินซี ซึ่งป้องกันการเกิดมะเร็งบางประเภทได้4. กินปลา กินเนื้อไม่ติดมัน ไข่และถั่วเมล็ดแห้งเป็นประจำปลา เป็นแหล่งอาหารโปรตีนที่ดี ย่อยง่ายมีไขมันต่ำ หากกินปลาเป็นประจำจะช่วยลดไขมันในเลือดและในปลาทะเลทุกชนิดมีสารไอโอดีนที่ช่วยป้องกันการเป็นคอพอก รวมทั้งหากกินปลาเล็กปลาน้อยจะได้แคลเซียม ซึ่งทำให้กระดูกและฟันแข็งแรงเนื้อสัตว์ทุกชนิดมีโปรตีน แต่ควรกินชนิดไม่ติดมันเพื่อลดการสะสมไขมันในร่างกายและโลหิตไข่ เป็นอาหารโปรตีนราคาถูก มีแร่ธาตุและวิตามินที่จำเป็นเด็กกินได้ทุกวัน แต่ผู้ใหญ่ควรกินไม่เกินสัปดาห์ละ 2-3 ฟองถั่วเมล็ดแห้ง และผลิตภัณฑ์ เป็นโปรตีนที่ดี ราคาถูกควรกินสลับกับเนื้อสัตว์เป็นประจำ5. ดื่มนมให้เหมาะสมตามวัยนม เป็นอาหารที่เหมาะสมสำหรับเด็กและผู้ใหญ่มีโปรตีน วิตามินบี2 และแคลเซียม ซึ่งช่วยให้กระดูกและฟันแข็งแรง ควรดื่มนมวันละ 1-2 แก้ว แต่สำหรับคนอ้วนหรือควบคุมน้ำหนักควรเลือกดื่มนมพร่องมันเนยแทน6. กินอาหารที่มีไขมันแต่พอควรไขมัน ให้พลังงานและความอบอุ่นกับร่างกาย ทั้งช่วยดูดซึมวิตามิน เอ ดี อี เค แต่ไม่ควรกินมากเกินไปจะทำให้อ้วน และเกิดโรคอื่นๆตามมา จึงควรกินแต่พอควร แต่ไม่ควรงดอย่างเด็ดขาด การประกอบอาหารประเภท ต้ม นึ่ง ย่าง อบ จะช่วยลดปริมาณไขมันในอาหารได้7. หลีกเลี่ยงการกินอาหารที่มีรสหวานจัดและเค็มจัดการกินอาหารรสจัดมากจนเป็นนิสัยจะเกิดโทษต่อร่างกายอาหารรสหวานจัดทำให้ได้รับพลังงานเพิ่มทำให้อ้วน รสเค็มจัดเสี่ยงต่อการเกิดความดันโลหิตสูง โดยเฉพาะคนที่ไม่ค่อยกินผัก ผลไม้ และชอบกินอาหารรสเค็มจัด จะมีโอกาสเป็นมะเร็งในกระเพาะอาหารด้วย8. กินอาหารที่สะอาดปราศจากการปนเปื้อนอาหารปนเปื้อนจะเกิดจากเชื้อโรค พยาธิต่างๆ สารเคมีที่เป็นพิษหรือโลหะหนักที่เป็นอันตราย จะเป็นสาเหตุของอาหารเป็นพิษ และเกิดการเจ็บป่วยด้วยโรคระบบทางเดินอาหาร ดังนั้นจึงควรเลือกกินอาหารที่สด สะอาด ปรุงสุกใหม่ๆ มีการปกปิดป้องกันแมลงวัน หรือบรรจุในภาชนะที่สะอาด และที่สำคัญคือ ล้างมือให้สะอาดก่อนกินอาหารทุกครั้ง9. งดหรือลดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์การดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์เป็นประจำเป็นโทษต่อร่างกายทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย สูญเสียชีวิตและทรัพย์สิน ตลอดจนเสี่ยงต่อการเป็นโรคตับแข็ง แผลในกระเพาะอาหารและลำไส้ มะเร็งหลอดอาหาร และโรคความดันโลหิตสูงการจะมีโภชนาการดี สุขภาพดี และคุณภาพชีวิตดี ต้องคำนึงถึงหลักใหญ่ ดังนี้1. กินอาหารและปฏิบัติตามโภชนบัญญัติ 9 ประการ2. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ3. ผ่อนคลายจิตใจ4. หลีกเลี่ยงสิ่งซึ่งเป็นพิษภัย เช่น บุหรี่ เหล้า และสิ่งแวดล้อมที่เป็นพิษ

หมู่เกาะมัลดีฟส์





หมู่เกาะมัลดีฟส์ (Maldives) เป็นประเทศหมู่เกาะที่ตั้งอยู่ในมหาสมุทรอินเดีย ห่างจากประเทศศรีลังกา ประมาณ 700 กิโลเมตร ทางตอนตะวันตกเฉียงใต้ หมู่เกาะมัลดีฟส์เกิดขึ้นมาจากการทับถมของหินประการัง ซึ่งลักษณะทางภูมิศาสตร์จะเป็นเกาะเล็กๆ กระจัดกระจายประมาณ 1,192 เกาะ ซึ่งมีคนอยู่อาศัยอยู่ทั้งหมด 250 เกาะ โดยหมู่เกาะเล็กๆนั้นจับกลุ่มกันอยู่เป็นรูปวงแหวนที่เรียกว่า อะตอล (Atoll) ซึ่งมีทั้งหมด 26 อะตอล
ประเทศมัลดีฟส์เป็นประเทศที่นับได้ว่ามีขนาดเล็กที่สุดในทวีปเอเชีย ทั้งในแง่ของจำนวนประชากรและขนาดพื้นที่ และยังถือเป็นประเทศที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลที่เตี้ยที่สุดในโลกอีกด้วย จุดที่สูงที่สุดแค่ประมาณ 2.3 เมตรจากน้ำทะเล

กรุงโซล





กรุงโซล เป็นเมืองหลวงของเกาหลีและเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดเกาหลีมากว่า 600 ปี และยังเป็นมหานครที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในโลก
เกือบครึ่งหนึ่งของประชากรเกาหลีอาศัยอยู่ใกล้ ๆ กับกรุงโซล และเกือบ 25 เปอร์เซ็นต์ของประชากรเกาหลีอาศัยอยู่ในกรุงโซล ทำให้
ที่นี่เป็นศูนย์กลางทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ วัฒนธรรม ที่นี่เป็นสำนักงานใหญ่ของบริษัทระดับโลกมากมายเช่น ซัมซุง,แอลจีและฮุนได
ทำให้ กรุงโซล เป็นศูนย์กลางของธุรกิจในเอเชีย กรุงโซล เป็นเมืองที่น่าค้นหาเป็นเมืองที่มีความผสมผสานระหว่างความเป็นเมืองเก่าและ
เมืองใหม่ได้อย่างน่ามหัศจรรย์ หากเราเดินอยู่ในกรุงโซล เราจะเห็นอาคารโบราณที่สวยงามแบบเกาหลีดั้งเดิมอยู่เคียงค้างกับตึกสูง
สไตล์โมเดิร์นดูกลมกลืนกันกรุงโซล เป็นเมืองที่สนุกสนานและไม่เคยหลับ เราสามารถเลือกทำกิจกรรมได้มากมายตามสไตล์ของแต่ละคน
ตั้งแต่ลิ้มลองอาหารเกาหลีรสเลิศแบบดั่งเดิม การเที่ยวชมธรรมชาติอันสวยงามของกรุงโซล ตลอดจนกิจกรรมกลางแจ้งเช่น การปีนเขา
เพื่อดูวิวของกรุงโซล สำหรับผู้ที่รักการช้อปปิ้ง สามารถเพลิดเพลินกับเลือกซื้อสินค้าเกาหลี แบบดั้งเดิมและสินค้าแบรนด์เนม
ของเกาหลีได้ตามแหล่งช้อปปิ้งในกรุงโซล

ผาแต้ม





อุทยานแห่งชาติผาแต้ม เป็นหน่วยงานสังกัดส่วนภูมิภาค สังกัดสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 9 (อุบลราชธานี) กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ในอดีตชาวบ้านท้องถิ่นทำกินในบริเวณใกล้เคียงพื้นที่ป่าภูผา น้อยคนนักที่จะเดินทางเข้าไปในป่าแห่งนี้ เนื่องจากมีความเชื่อว่า “ผาแต้มเป็นเขตต้องห้าม ภูผาเหล่านั้นมีความศักดิ์สิทธิ์นักเป็นภูผาแห่งความตาย ใครล่วงล้ำเข้าไปมักมีอันเป็นไปอาจเจ็บไข้ หรือเป็นอันตรายถึงชีวิต ” ปัจจุบัน พื้นที่ป่าภูผาแต้ม ได้ถูกเปิดเผยจนเป็นที่รู้จักกันทั่วไป เมื่อคณะอาจารย์และนักศึกษาจากภาควิชามนุษยวิทยา มหาวิทยาลัยศิลปากร ได้มาทำการสำรวจค้นพบภาพเขียนสีโบราณสมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่ผาแต้ม ท้องที่บ้านกุ่ม ตำบลห้วยไผ่ อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี ประกอบกับสภาพป่าในบริเวณใกล้เคียงยังอุดมสมบูรณ์อยู่ จึงได้ทำหนังสือบันทึกจากภาควิชาฯ ลงวันที่ 26 พฤษภาคม 2524 เสนอต่อกองอุทยานแห่งชาติ กรมป่าไม้ ขอให้จัดตั้งป่าภูผาในบริเวณผาแต้มเป็นอุทยานแห่งชาติ กองอุทยานแห่งชาติได้บันทึกสั่งการ ลงวันที่ 27 พฤษภาคม 2524 ให้ นายเสงี่ยม จันทร์แจ่ม นักวิชการป่าไม้ 4 ปฏิบัติหน้าที่หัวหน้า อุทยานแห่งชาติดงหินกอง (ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็นอุทยานแห่งชาติแก่งตะนะ) ไปทำการสำรวจหาข้อมูลเพิ่มเติมผลการสำรวจปรากฏรายงาน ตามหนังสืออุทยานแห่งชาติดงหินกอง ที่ กส 0708 (ดก) /57 ลงวันที่ 28 สิงหาคม 2524 ว่า “ พื้นที่บริเวณที่ภาควิชามนุษยวิทยา มหาวิทยาลัยศิลปากรเสนอขอให้จัดตั้งเป็นอุทยานแห่งชาติ อยู่ในบริเวณพื้นที่ป่าภูผาปรากฏภาพเขียนสีโบราณ ซึ่งมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ที่ผาแต้ม สภาพป่าบริเวณใกล้เคียงยังไม่ถูกทำลาย และมีจุดเด่นตามธรรมชาติที่สวยงาม การคมนาคมสะดวกเหมาะที่ตั้งอุทยานแห่งชาติ โดยเห็นควรผนวกบริเวณดังกล่าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของ อุทยานแห่งชาติดงหินกอง ”

กรมป่าไม้ จึงมีคำสั่งกรมป่าไม้ ที่ 1162/2524 ลงวันที่ 13 กันยายน 2524 ให้นายเสงี่ยม จันทร์แจ่ม นักวิชาการป่าไม้ 4 หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งตะนะ (อุทยานแห่งชาติดงหินกองเดิม) ไปดำเนินการควบคุมดูแลรักษาป่าภูผาโดยให้พิจารณาผนวกเข้ากับ อุทยานแห่งชาติแก่งตะนะ ทั้งนี้บริเวณภูผาดังกล่าวได้ถูกประกาศรวม กับบริเวณป่าใกล้เคียง ให้เป็นป่าสงวนแห่งชาติดงภูโหล่นตามกฎกระทรวงฉบับที่ 603 (พ.ศ.2516) ลงวันที่ 24 ตุลาคม 2526 ต่อมากรมป่าไม้ ได้พิจารณาเห็นว่าพื้นที่บริเวณดังกล่าวเป็นพื้นที่คนละส่วน และอยู่ห่างไกลกับอุทยานแห่งชาติแก่งตะนะ ตลอดจนมีอาณาเขตกว้างขวาง เกรงว่าอุทยานแห่งชาติแก่งตะนะ จะดูแลไม่ทั่วถึง และเพื่อเป็นการสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลตาม โครงการอีสานเขียว และกระทรวงเกษตร และสหกรณ์ ในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและป่าไม้ เพื่อพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว และการศึกษาหาความรู้ทางวิชาการ จึงมีคำสั่งกรมป่าไม้ ที่ 991/2532 ลงวันที่ 28 มิถุนายน 2532 ให้ นายวรพล รัตนสุวรรณ นักวิชาการป่าไม้ 5 กองอุทยานแห่งชาติ ไปดำเนินการสำรวจเพื่อจัดตั้งพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าดงภูโหล่นท้องที่ อำเภอโขงเจียม อำเภอศรีเมืองใหม่ และอำเภอโพธิ์ไทร จังหวัดอุบลราชธานี เนื้อที่ 340 ตารางกิโลเมตร หรือ 212,500 ไร่ เป็นอุทยานแห่งชาติผาแต้ม และทำหน้าที่หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแห่งนี้ด้วย

สุขภาพที่ไม่ควรมองข้าม






1. การดื่มน้ำปริมาณมากในเวลาอันรวดเร็วอาจก่อให้เกิดสภาวะน้ำเป็นพิษ เนื่องจากเลือดเจือจาง ร่างกายจึงขับโปแตสเซียมออกจากเซลล์เพื่อปรับสมดุลระหว่างน้ำในเซลล์และนอกเซลล์ ผลที่ตามมาคือเป็นตะคริว กล้ามเนื้อเกร็ง หากเกิดอาการเกร็งที่สมอง หัวใจ หรือปอด จะทำให้ระบบหายใจล้มเหลวและเสียชีวิตได้ แต่ไม่ต้องกังวลจนเกินไป เพราะหากดื่มน้ำทีละเล็กทีละน้อย แม้ดื่มมากกว่าปกติก็ไม่เป็นอันตรายเพราะไตจะขับออกมาเป็นปัสสาวะ และถ้าเมื่อไรมีอาการจุกนั่นแสดงว่าดื่มน้ำมากไป ควรหยุดได้แล้ว

2. การปล่อยให้ตนเองหิวอาจนำไปสู่โรคร้าย เพราะความหิวกระตุ้นร่างกายให้หลั่งฮอร์โมนความเครียด ซึ่งหากเกิดขึ้นเป็นประจำจะทำให้เกิดโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจหรือเบาหวานได้ ลองควบคุมความหิวด้วยการแบ่งมื้ออาหารจากวันละ 3 มื้อเป็นมื้อเล็กๆ 5-6 มื้อต่อวัน

3. ชา กาแฟ รวมถึงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนไม่เหมาะกับผู้ที่มีอาการปวดหลัง เพราะคาเฟอีนลดการหลั่งสารเอนโดรฟีนซึ่งเป็นสารธรรมชาติที่ร่างกายผลิตขึ้นและมีฤทธิ์ลดอาการปวดตามอวัยวะต่างๆ

4. วิธีง่ายๆในการดูแลสุขภาพคือ หลังจากตื่นนอนทุกเช้า จะดื่มน้ำส้มสายชูที่หมักจากผลแอ๊ปเปิ้ล ผสมกับน้ำผึ้งอย่างละ 1 : 1 ใส่น้ำอุ่นคนให้เข้ากันแล้วค่อยเติมน้ำแข็งลงไปเพื่อให้ทานง่ายและมีรสชาติดีขึ้น ซึ่งวิธีนี้จะไปช่วยการดูดซึมของระบบลำไส้ และการเผาผลาญของร่างกาย แต่โรคบางโรคอาจเกิดจากสุขภาพจิตที่อ่อนแอ ในหนึ่งอาทิตย์จึงควรจะมีวันพักผ่อนอย่างจริงจังหรือทำกิจกรรมที่ผ่อนคลาย เช่น เล่นโยคะ เพื่อฟื้นฟูสุขภาพกายและลดมลภาวะทางจิตใจไปพร้อมๆ กัน

5. การนอนดึกคืนวันศุกร์-เสาร์แล้วตื่นสายในวันเสาร์-อาทิตย์ ทำให้นาฬิกาชีวภาพของร่างกายตั้งเวลาตื่นใหม่ เมื่อถึงวันจันทร์จึงมีอาการอิดเอื้อนไม่อยากตื่น ทั้งยังทำให้ขาดสมาธิในการทำงานหรือเรียนหนังสืออีกด้วย

6. แสงแดดยามเช้าไม่ได้ช่วยให้กระดูกแข็งแรงเท่านั้น แต่การออกกำลังกายกลางแดดในช่วงเวลาดังกล่าวยังช่วยให้ร่างกายผลิตสารเอนโดรฟีน ซึ่งเป็นสารต่อต้านอาการซึมเศร้าตามธรรมชาติอีกด้วย

7. ความเครียดเป็นตัวการทำลายผิวที่ร้ายแรงที่สุด ฉะนั้นเราต้องปรับความคิดใหม่ และใช้ร่างกายเราอย่างทะนุถนอมตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เหมาะสม หาเวลาออกกำลังกายบ้าง และรับประทานอาหารดีๆ

8. แอ๊ปเปิ้ล แตงโม กล้วย กีวี มีประโยชน์ แต่ถ้าคุณรับประทานยาปฏิชีวนะอยู่ควรหลีกเลี่ยงผลไม้เหล่านี้เพราะบูดง่ายในลำไส้ อาจเกิดการอักเสบในระบบทางเดินอาหารได้

9. การไอเรื้อรังอาจเกิดจากการติดเชื้อไวรัส ยาปฏิชีวนะที่แพทย์สั่งเพื่อรักษาอาการหวัดไม่สามารถฆ่าเชื้อไวรัสได้ ให้ใช้วิธีที่สุดแสนธรรมดาแต่ได้ผลมากกว่าคือ ดื่มน้ำบ่อยๆ เพื่อลดเสมหะในทางเดินหายใจ อมยาอมให้ลำคอชุ่มชื่นอยู่ตลอดเวลา และนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอเพื่อให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ แค่นี้ก็หายแล้ว

10. การที่เราคิดว่าตัวเองมีสุขภาพดี แถมอายุยังน้อย ทำให้เราชะล่าใจในการดูแลรักษาสุขภาพ เวลาเกิดอะไรผิดปกติขึ้นกับร่างกายจะคิดว่าช่างมัน เดี๋ยวคงหายเอง ซึ่งไม่ถูกต้อง

11. เมื่อมีอาการเท้าและข้อเท้าบวมให้นั่งยองๆ ทุกวันๆ ละ 15 นาที แล้วขยับข้อเท้าไปข้างหน้าและข้างหลัง เพื่อช่วยให้โลหิตไหลเวียนได้ดีขึ้น หลังจากนั้นใช้แปรงที่ขนทำจากวัสดุธรรมชาติ แปรงผิวหนังเบาๆ เริ่มบริเวณฝ่าเท้าซึ่งเป็นศูนย์รวมของเส้นประสาททั่วร่างกาย แล้วค่อยๆ ปัดไล่ขึ้นมาที่ข้อเท้า น่อง ต้นขา ท้อง แขนไปจนสุดที่มือทั้งสองข้าง (ยกเว้นผู้ที่เป็นเบาหวาน เพราะเสี่ยงจะเกิดบาดแผล) จากนั้นอาบน้ำอุ่นแล้วตามด้วยน้ำเย็น จะช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น

12. ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานและรับประทานไข่มากกว่าอาทิตย์ละ 1 ครั้ง เสี่ยงเป็นโรคหัวใจมากขึ้น

13. ผู้ที่รับประทานไข่เป็นเวลา 8 อาทิตย์ลดน้ำหนักได้มากกว่าผู้ที่ไม่รับประทานถึง 65 เปอร์เซ็นต์ และรอบเอวลดลงเกือบสองเท่า เพราะผู้ที่รับประทานไข่รู้สึกอิ่มกว่าการรับประทานขนมปัง ทำให้รับประทานอาหารกลางวันและอาหารเย็นน้อยลง

14. การรับประทานอาหารไปดูหนังไปทำให้รับประทานอาหารมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว แม้ว่าจะกินอิ่มมาแล้วหรือรสชาติของอาหารไม่ได้เรื่องเลยก็ตาม นอกจากนี้ไฟสลัวๆ ทำให้ผู้ที่รับประทานอาหารไม่ค่อยระวังตัว เพลิดเพลินเจริญอาหารไปเรื่อย

15. เสียงเพลงมีอิทธิพลต่ออารมณ์ของคนเรา ยิ่งดนตรีมีจังหวะเร็วเท่าไรก็ยิ่งกระตุ้นให้รับประทานอาหารมากขึ้นเท่านั้น

16. การดื่มน้ำ(เปล่า)เย็น 50 ออนซ์ (8 ออนซ์= 1 ถ้วย) จะช่วยเผาผลาญพลังงานเพิ่มขึ้นวันละ 50 แคลอรี เท่ากับช่วยให้น้ำหนักลดลงปีละ 5 ปอนด์หรือ 2.5 กิโลกรัม เพราะการดื่มน้ำเปล่าไม่ทำให้ร่างกายได้รับพลังงาน แต่ต้องใช้พลังงานในการเผาผลาญน้ำ ยิ่งไปกว่านั้นน้ำเย็นทำให้ร่างกายต้องใช้พลังงานเผาผลาญมากขึ้นอีก

17. การออกกำลังกายด้วยการยกน้ำหนักและพิลาทิส ควบคู่กันไปจะช่วยพัฒนาความแข็งแรงของปอดและหัวใจ รวมถึงความแข็งแรงและยืดหยุ่นของโครงสร้าง และการรับประทานอาหารมื้อย่อยๆ 5 มื้อต่อวัน โดยมื้อกลางวันจะเน้นอาหารประเภทโปรตีนเพียง 1 มื้อ นอกนั้นเน้นผักและผลไม้ จะทำให้มีพลังงานที่พอเหมาะในการใช้งาน และไม่ทิ้งไขมันส่วนเกินสะสม

18. ผู้ชายที่รับประทานมะเขือเทศ ซึ่งมีไลโคปีนสูงอย่างน้อยอาทิตย์ละ 10 ผลหรือมากกว่านั้น เสี่ยงเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากน้อยลง 45 เปอร์เซ็นต์ วิธีง่ายๆ ให้นำมะเขือเทศไปปั่นให้ละเอียดเติมน้ำมันมะกอกและนำไปปรุงสุก ความร้อนจะช่วยให้มะเขือเทศปล่อยสารไลโคปีนออกมามากขึ้น

19. รับประทานแอ๊ปเปิ้ลหนึ่งชิ้นหลังอาหาร ช่วยเพิ่มปริมาณน้ำลาย ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการลดแบคทีเรียในช่องปากและช่วยให้เหงือกแข็งแรง การรับประทานสับปะรดและมะละกอก่อนอาหารประมาณ 2-3 ชิ้น ดีต่อกระเพาะอาหารเพราะมีเอนไซน์ซึ่งช่วยย่อย จึงเท่ากับช่วยให้กระเพาะย่อยอาหารมื้อหลักที่ตามลงมาได้ง่ายขึ้น

20. หากไม่อยากมีกรดในกระเพาะมากเกินไป ควรลดปริมาณการดื่มน้ำผลไม้เข้มข้น อย่างเช่นมะนาว ส้ม ส้มโอ เกรฟฟรุ๊ต หรือน้ำมะเขือเทศสดปั่น หรือทำให้เจือจางด้วยการผสมน้ำเข้าไป

21. สำหรับหนุ่มเจ้าสำราญ ที่ชอบปาร์ตี้หามรุ่งหามค่ำ ก็สามารถฟื้นฟูร่างกายได้ด้วยการนอนหลับให้นานหน่อย อีกวิธีหนึ่งในการดูแลตัวเองคือมีแฟนเด็ก จะได้มีแรงกระตุ้นให้เราทำตัวเด็กตาม ต้องดูดีตลอดเวลา เพราะฉะนั้นอบายมุข การเที่ยวกลางคืนก็เป็นอันต้องงด

22. การเล่นเกมคอมพิวเตอร์โดยเฉพาะเกมส์ที่ต้องใช้สมาธิ ช่วยให้ระบบประสาททำงานเชื่อมต่อกันอย่างมีประสิทธิภาพ ป้องกันโรคอัลเซเมอร์ได้ เกมอื่นๆ เช่น ปริศนาอักษรไขว้ หรือเลือกเรียนดนตรี ก็ช่วยได้เช่นกัน

23. การใช้พลาสติกใส่อาหารหรือปิดอาหาร รวมถึงใส่จานชามพลาสติกในไมโครเวฟ เพราะความร้อนจะทำให้พลาสติกปนเปื้อนในอาหาร เพิ่มความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งเต้านม

24. ก่อนตั้งครรภ์ควรเตรียมตัวล่วงหน้าประมาณ 3 เดือน 1.ดูแลเรื่องอาหารการกิน เน้นโฟเลต แคลเซียม วิตามินต่างๆ ป้องกันอาการแพ้ท้องหรืออยากอาหารประหลาดๆ 2.ระวังเรื่องการรับประทานยาทุกชนิด อ่านฉลากให้ดี เพราะอาจทำร้ายลูกโดยไม่เจตนา 3.ทำใจให้สบาย คิดในแง่บวก 4. ออกกำลังกายที่เหมาะสม

25. ถ้ามื้อนั้นรับประทานเนื้อสัตว์ในปริมาณมาก ไม่ควรรับประทานผลไม้อีก เพราะกว่าเนื้อจะย่อยหมดต้องใช้เวลานาน ทำให้ผลไม้ที่ย่อยเสร็จไปเรียบร้อยแล้วถูกกักอยู่ในกระเพาะ เกิดกรดในกระเพาะอาหารได้